Wednesday, January 26, 2011


พึ่งตนได้ด้วยสุขภาพดี
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต 


อาจารย์ตั๊กม้อ ภาพ โยชิโตชิ

        อาจารย์ตั๊กม้อ (พระโพธิธรรม) เป็นพระธรรมทูตชาวอินเดีย เดินทางเข้าประเทศจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ 11 เพื่อทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่กลับกลายเป็นผู้ก่อตั้ง “นิกายเซน” ที่อยู่ในขอบเขตแห่งพระพุทธศาสนา โดยมิได้ตั้งใจ

        หลังจากที่ทำธุดงควัตรอยู่ที่ภาคใต้ของแผ่นดินจีนสมัยนั้นได้พักหนึ่ง อาจารย์ตั๊กม้อก็เปลี่ยนเข็มทิศเดินทางขึ้นเหนือ จนไปพบวัดเส้าหลิน เมื่อได้ทำความรู้จักกับพระสงฆ์องค์เจ้าในวัดแล้ว ก็พบว่า แม้เหล่าบรรพชิตจะเข้มแข็งรอบรู้ในพระธรรม แต่ยังอ่อนแอทางกายภาพอยู่มาก คือ ขาดความบึกบึนสำหรับปฏิบัติกรรมฐานติดต่อกันนานๆ ซึ่งกลายเป็นบรรทัดฐานทรหดยิ่งของเซน   
 

        อาจารย์ท่านออกแบบวิธีออกกำลังกาย เพื่อฝึกฝนบรรพชิตให้มีกายภาพที่แข็งแรง ด้วยลีลากระบวนยุทธ์ต่างๆ ซึ่งได้พัฒนาเป็นศิลปะป้องกันตัวอันลือลั่นไปทั่วโลก เรียกกันในสมัยนั้นว่า “ลีลามวยโหลหันเส้าหลิน” 

        จริงอยู่ พระพุทธศาสนาสอนให้เราพึ่งพาตัวเราเอง ไม่พึ่งจิ้งจก ตุ๊กแก ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขาไฟ พระจันทร์ พระอาทิตย์ รูปปั้น ภาพเขียน ลูกแก้ว บุคคลที่เราลุ่มหลง ฯลฯ ทว่า ก่อนที่จะพึ่งตัวเองได้ ร่างกายกับจิตใจตนจะต้องมีสุขภาพดี มีความสมดุลระหว่างหยิง (เย็น) กับหยาง (ร้อน) อยู่เป็นพื้นฐาน การรักษาสุขภาพจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่สนองตอบ "กฎแห่งธรรมชาติ" ในตัวเรา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมและหน้าที่สำคัญยิ่งของเราทุกคน

ชีวิตในราตรีกาล กรุงเทพมหานคร ภาพ ธนรัตน์
      
        นับแต่ที่มวลมนุษย์ได้ผลัดกันค้นพบและประดิษฐ์กระแสไฟฟ้าขึ้นมาใช้เมื่อราว 200 ปีก่อน โลกได้แปรเปลี่ยนไปเป็นโลกที่สามารถมีความสว่างไสวได้ตลอดคืน เมื่อมีไฟฟ้า หลอดไฟ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เราก็ไม่จำต้องเข้านอนหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีกต่อไป

        คาดกันว่า ราวร้อยละ 60 ของคนสมัยนี้ เข้านอนหลังเที่ยงคืน ในขณะที่ต้องตื่นเช้าตรู่ เพื่อประกอบภารกิจส่วนตัว ส่งผลให้มีเวลานอนหลับพักผ่อนร่างกายกับจิตใจไม่ครบ 7 ชั่วโมง

        มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบว่า “ภาวะอดนอน” ซึ่งได้แก่การได้นอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีผลกระทบต่อสุขภาพกายมากมาย นายแพทย์โจเซฟ เมอร์โคล่า สรุปผลการอดนอนไว้ดังนี้

1. มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน คนอดนอนชอบอาหารเครื่องดื่มรสหวานและทำจากแป้งมากกว่าอาหารที่ตนคุ้นเคยและผัก เพราะน้ำตาลกับกลูโคสในเลือดคือเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนการทำงานของสมอง ฉะนั้น อดนอนเมื่อใด เราจะแสวงหาแต่อาหารจำพวกน้ำตาลกับแป้ง เพื่อกระตุ้นสมองให้ทำงาน ส่งผลให้เราไม่รู้สึกง่วงได้ชั่วครู่ แต่ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่สภาพเริ่มเป็นโรคเบาหวาน

2. มีน้ำหนักเพิ่ม คือ เมื่ออดนอน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเล็ปตินน้อยลง ซึ่งเป็นสารที่เตือนสมองให้รู้ว่า ร่างกายได้รับอาหารถึงจุดพอเพียงแล้ว คือ เตือนให้หยุดรับประทานอาหาร ขนม ผลไม้ ฯลฯ ได้แล้ว ในขณะเดียวกัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเกรลินเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้รู้สึกหิว หิว และหิว ฉะนั้น ภาวะอดนอนจะส่งผลให้เราขยันหาอาหารรับประทาน เสมือนรถยนต์ที่วิ่งโดยไม่มีระบบห้ามล้อ
3. แก่ก่อนวัยรวดเร็วเกินคาด
4. มีโรคความดันโลหิตสูง
5. เพิ่มการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายขาดความสมดุลตาม "กฏแห่งธรรมชาติ" มะเร็งของสัตว์ในห้องทดลองที่ถูกบังคับให้อดนอนมากๆ มักเติบโตรวดเร็วกว่าปกติถึงสองหรือสามเท่า

        ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพจิตนั้น มีอยู่ไม่น้อย สลีบเด็กซ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานไม่แสวงหากำไร ได้เสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของการนอนหลับไว้มาก มาย ดังนี้

        ภาวะอดนอนกับภาวะติดสุราเหมือนกันตรงที่มีผลกระทบต่อการใช้สมองในการคิดและสร้างสรรค์ คนอดนอนตลอดคืนหนึ่งคืน จะมีอาการหงุดหงิดและงุ่มง่ามในวันถัดไป โดยจะเหนื่อยง่ายหรือเคลื่อนไหวฉับไวกว่าปกติ คนอดนอนสองคืนติดต่อกัน จะเพ่งความสนใจได้ไม่นาน และจะทำผิดพลาดในงานได้ง่ายๆ คนอดนอนสามคืนติดต่อกัน จะเริ่มมองเห็นภาพผิดจากความเป็นจริง และมักไม่ได้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง 

        คนที่หลับเพียงคืนละสี่ห้าชั่วโมง จะอยู่ในภาวะ “ขาดดุลเวลานอนหลับ” และมีอาการต่างๆ ดังกล่าว การหลับชดเชยในวันหยุดอาจช่วยผ่อนภาวะขาดดุลได้บ้าง แต่ผ่อนได้ไม่หมด ส่งผลให้ยกยอดขาดดุลไปทบไว้ต่อไป

        กองทัพบกสหรัฐวิจัยพบเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การอดนอนบั่นทอนความฉลาดทางอารมณ์ (ไม่สามารถรู้ทันอารมณ์ตัวเอง) และตัดทอนทักษะในการคิดเสริมสร้าง

        นอนคืนละ 5.5 ชั่วโมง มีผลกระทบระยะสั้นดังนี้ คือ ความตื่นตัวลดลงถึงร้อยละ 32 ความจำจะเสื่อม การเรียนรู้ไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร ความสามารถในการใช้ความคิดและใช้ข้อมูลจะติดขัดไม่คล่องแคล่ว อุบัติเหตุในงานมีโอกาสเกิดง่ายขึ้นถึงสองเท่า ผลกระทบระยะยาว มีอาทิ จิตซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน ความรู้สึกเฉื่อยชา ตลอดจนความสัมพันธ์กับคู่ชีวิตย่ำแย่ลง



อุบัติเหตุมีเหตุเสมอ ภาพ ดามน์ซอฟต์

        นอกจากนี้ การอดนอนยังก่อให้เกิดอันตรายบนท้องถนนอย่างมาก สำนักงานความปลอดภัยทางจราจรบนถนนความเร็วสูงแห่งชาติ สหรัฐฯ ประมาณการไว้ว่า โดยเฉลี่ยวแล้ว “ง่วงแล้วขับ” ได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง 100,000 ราย บาดเจ็บ 71,000 ราย ตาย 1,550 ราย ในแต่ละปี

        กระทรวงคมนาคม สหรัฐฯ รายงานว่า ร้อยละ 20 ของคนขับรถทั้งหมดเคยหลับคาพวงมาลัยอย่างน้อยหนึ่งครั้ง “ง่วงแล้วขับ” เป็นภัยที่น่ากลัวยิ่ง โดยมักเกิดขึ้นบนถนนที่ให้ใช้ความเร็วสูง

        เมื่อนัยน์ตาปิดสนิทลงเองด้วยความง่วงสุดขีด และไม่มีคนโดยสารคอยเตือนภัย คนขับจะปล่อยให้รถวิ่งด้วยความเร็วสูงต่อไปเรื่อยๆ จนเกิดอุบัติเหตุขั้นร้ายแรง อนึ่ง น่าสังเกตได้ว่า คนขับรถบรรทุกขนาดใหญ่มักมีโอกาสนอนหลับเพียงสองถึงสี่ชั่วโมงต่อคืนเท่านั้น

        ในโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานที่ทำงานกะหลังเที่ยงคืนมักประสบอุบัติเหตุในงานและบนท้องถนนในอัตราที่น่าวิตกมาก เหตุการณ์เรือบรรทุกน้ำมันดิบเอ็กซ์ซอนวัลดีซ์ที่ล่มลงในทะเล และโรงไฟฟ้าปรมาณูทรีไมล์ไอแลนด์ที่ร้าวรั่ว ล้วนมีสาเหตุมาจากพนักงานอดนอนทั้งสิ้น

        อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาเชื่อว่า การอดนอนไม่ก่อให้เกิดจิตเภท (บุคคลิกภาพแตกแยก ไม่เป็นหนึ่งเดียว) หรือจิตซึมเศร้า แม้ว่าคนอดนอนอาจเริ่มมองเห็นภาพผิดจากความเป็นจริง แต่อาการนี้ไม่เหมือนกับคนจิตเภทที่มองเห็นภาพหลอน ส่วนเสียงหลอกหลอนก็ยังไม่พบว่าเคยเกิดกับคนอดนอน

        ในส่วนของเยาวชน วิจัยในสหรัฐฯ พบว่า เด็กชั้นประถมเกือบร้อยละ 40 อยู่ในภาวะอดนอน ร้อยละ 15 ไม่ยอมเข้านอนเมื่อได้เวลา และร้อยละ 10 มีอาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดวัน เด็กวัยรุ่นเกือบร้อยละ 13  เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรังระดับรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์ พฤติกรรม และผลการเรียน ส่วนเด็กอนุบาลที่อดนอน มักมีอาการซึมเศร้าและมองตัวเองในแง่ติดลบ คือ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
        นักเรียนที่ได้คะแนนเกรดซี เกรดดี และเกรดเอฟ (สอบตก) มักเข้านอนโดยเฉลี่ยหลังนักเรียนเกรดเอราว 40 นาที และหลับน้อยกว่า 20 นาที เด็กอดนอนไม่สามารถเพ่งความตั้งใจได้นาน (จิตไม่นิ่ง) ตลอดจนมีทักษะในการสมาคมและการเรียนในระดับต่ำ ฉะนั้น ผู้ปกครองน่าจะสืบหาสาเหตุปัญหาการเรียนของลูกๆ ให้ถี่ถ้วนว่า เกิดจากการอดนอนหรือไม่ ก่อนที่จะลงมือเคี่ยวเข็ญลูกๆ ให้เหน็ดเหนื่อยกันเปล่าๆ
        เห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถละเมิด "กฎแห่งธรรมชาติ" ในตัวเราเองได้ฟรีๆ ใครที่อดนอน เพื่อเบียดบังเวลาหลับไปทำการอื่น โดยไม่ได้หลับชดเชยภายหลัง เท่ากับก่อกรรมทำเข็ญกับตัวเอง กรรมจะตอบสนองลงโทษผู้นั้น ทั้งทางกายกับทางจิตอย่างแน่นอน
        ทุกคนมีหน้าที่เบื้องต้นปฏิบัติตาม "กฎแห่งธรรมชาติ" ในตัวเรา ด้วยการนอนหลับให้พอเพียง โดยงดใช้สารกาเฟอีนกดเก็บความง่วงก่อนเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หลังจากที่ได้หลับอย่างพอเพียง เราจะรู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย มีภูมิต้านทานโรคสูง ความไม่มีโรค ซึ่งเป็นลาภอันประเสริฐ ก็จะเป็นรางวัลอันล้ำค่า โดยเฉพาะเมื่อเรามีโภชนาการและการออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่ด้วย
        คนสมัยใหม่ในโลกแห่งเทคโนโลยี มักไม่บริหารเวลาให้มีเวลานอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง โดยยอมชดใช้บาปที่ละเลยการนอนหลับอย่างพอเพียงด้วยการสังเวยสุขภาพกายกับสุขภาพจิตไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
        เมื่อสุขภาพตนย่ำแย่ลง เราจะพึ่งตัวเองได้อย่างไร?


สอนบุตรหลานให้ใช้เงินเป็น
โดย : ธนรัตน์ ยงวานิชจิตdhanarat333@gmail.com


         เงินคือสิ่งจำเป็นสำหรับซื้อหาปัจจัย ทักษะในการใช้เงินที่มีอยู่จำกัดไม่ได้มีมาแต่เกิด การฝึกฝนบุตรหลานให้ใช้เงินเป็นจึงเป็นเรื่องสำคัญ


        "คุณพ่อขา หนูขอตังค์ซื้อไอโฟนค่ะ"  "คุณแม่ครับ หนูขอตังค์ซื้อวีดิโอเกมครับ"  
        คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคงเคยได้ยินเสียงสุภาพอ่อนหวานแบบนี้มาแล้ว ก้าวเข้าไปในศูนย์การค้าทีใด หัวใจแทบหยุดเต้น เพราะลูกๆ ในครอบครัว ผู้อยู่ในวัยตื่นตาตื่นใจกับแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ วีดิโอเกม แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี ฯลฯ อดไม่ได้ที่จะต้องซื้อหาวัตถุสิ่งของเหล่านี้ โดยมักปราศจากการยั้งคิด เผลอแป๊บเดียว ลมแทบใส่ผู้ปกครองในขณะชำระเงิน ก่อให้เกิดความแคลงใจขึ้นมา ว่า การยื่นเงินให้ลูกๆ แต่ละครั้ง นั้น สมควรแล้วหรือ

        ในยามที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยยาวนานอย่างเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่สามของสิงหาคม 2553 ถึง 12,000 ราย รวมเป็น 500,000 ราย และยังมีทีท่าว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอีกภายในเวลาอีกไม่นานเกินรอ ผู้ปกครองน่าจะถือโอกาสทำการฝึกฝนลูกๆ ในบ้าน ให้ใช้เงินเป็น (หากยังไม่ได้ทำ) เพื่อจะได้ช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจการเงินในบ้านให้ยั่งยืนต่อไปได้นานที่สุด และจะได้มีภูมิคุ้มกันไม่ถูกเงินใช้เป็นทาสเมื่อเติบใหญ่

        นางเอลิซาเบธ คอริช มารดาผู้สำเร็จปริญญาโททางการศึกษา มีประสบการณ์อยู่บ้านเลี้ยงดูบุตรตัวเองร่วม 12 ปี เคยเป็นครูชั้นอนุบาล และกำลังสอนชั้นประถมสามที่ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา มีคำแนะนำ 5 ข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฝึกฝนเด็กๆ (อายุ 5 ปีถึง 18 ปี) ให้ใช้เงินเป็น ดังจะได้นำมาเสนอต่อไปนี้

        ขั้นแรก ขอให้ผู้ปกครองเรียกประชุมลูกๆ ทั้งหลาย เพื่อพูดคุยกันในเรื่องการสะสม และการใช้จ่ายเงินทอง ในขั้นนี้ ผู้ปกครองมีหน้าที่แยกแยะให้ชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งจำเป็นต่อชีวิต อะไรคือสิ่งไม่จำเป็นต่อชีวิต หากลูกๆ อยู่ในวัย 11 ปี ถึง 14 ปีด้วยแล้ว การประชุมอาจยาวนานหน่อย แต่อย่าท้อถอย
        ขอให้พยายามใช้เหตุผลแยกแยะออกมาว่า อะไรจำเป็น (ปัจจัยสี่) อะไรไม่จำเป็น (ของเล่นสนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว แฟชั่นที่มาและไปตามสมัยนิยมชั่วครู่) และให้แบ่งจำนวนเงินสำหรับใช้จ่ายออกเป็นสองส่วน คือ จำเป็นและฟุ่มเฟือย หากได้พูดคุยกันในขณะที่ลูกๆ มีอายุยิ่งน้อย การฝึกฝนให้ใช้เงินเป็นก็จะยิ่งง่าย ฉะนั้น ควรเริ่มทำการฝึกฝนแต่เนิ่นๆ ในทำนอง "ไม้อ่อนดัดง่าย"

        ขั้นสอง ขอให้เปิดบัญชีธนาคาร ประเภทสะสมทรัพย์ โดยมีชื่อผู้ปกครองและลูกหนึ่งคนเป็นเจ้าของบัญชีร่วมต่อเล่ม (หากยังไม่ได้ทำ) เม็ดเงินงวดแรกในบัญชีควรมาจากเงินที่ลูกมีเก็บไว้อยู่ก่อนแล้ว

        ผู้ปกครองควรบอกกล่าวให้ชัดเจนว่า เม็ดเงินนี้จะมาจากหมวดใดบ้าง โดยอาจมาจากเงินสดของลูกเอง เงินที่ผู้ใหญ่ให้ลูกเป็นของขวัญ หรือเงินที่รวมกันจากหลายๆ หมวด ข้อสำคัญ ผู้ปกครองจะต้องย้ำให้ชัดเจนว่า ที่เปิดบัญชีไว้ก็เพื่อให้ลูกมีประสบการณ์ในการเก็บสะสมเงิน และดูแลเงินทองของลูกเอง

        ขั้นสาม ขอให้แยกเงินได้ของลูกออกเป็นสองกลุ่ม คือ เงินที่ได้รับเป็นของขวัญ และเงินที่ได้รับจากการทำงานในบ้าน โดยบอกกล่าวให้เข้าใจชัดเจนว่า เงินของขวัญไม่จำเป็นต้องนำไปใช้จ่ายจนหมด คือ เก็บสะสมไว้ในบัญชีบ้าง ก็ได้ ส่วนเงินจากการทำงานก็เช่นกัน

       ต่อไป ขอให้ทำรายชื่อชิ้นงานในบ้านที่ลูกๆ ช่วยทำแล้วไม่ได้ค่าตอบแทน (งานกิจวัตร) และให้ทำรายชื่อชิ้นงานพิเศษที่ทำแล้วได้ค่าตอบแทน (งานจร) ทั้งนี้ งานทั้งหมดจะต้องเหมาะสม และไม่เกินความสามารถตามอายุขัยของลูกๆ

        ขั้นสี่ ขอให้ผู้ปกครองเอาใจใส่ดูแลบัญชีร่วมของลูกๆ ในขณะเดียวกัน สอนให้รู้จักบันทึกจำนวนเงินที่นำไปฝากไว้กับธนาคารแต่ละครั้ง ด้วยการจดไว้บนปฏิทินรายเดือน ให้ตรงกับวันฝาก หรือบันทึกลงในหน้าบัญชีแบบง่ายๆ ซึ่งมีช่องแสดงตัวเลขยอดคงเหลือของแต่ละเดือน

        นอกจากนี้ ผู้ปกครองอาจมีแผนจูงใจให้ลูกๆ หมั่นฝากเงินเข้าบัญชี ด้วยการให้รางวัลเป็นเงินก้อนเท่ากับจำนวนเงินที่ลูกเก็บสะสมเพิ่มเติมเข้าในบัญชีในเดือนหนึ่งๆ ได้ เมื่อได้รับรายงานยอดเงินคงเหลือจากธนาคาร ก็ให้ลูกอ่านดูว่า จำนวนเงินในบัญชีได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นเท่าไรแล้ว

        ขั้นห้า เมื่อลูกต้องการซื้อสิ่งของจากรายการฟุ่มเฟือย ขอให้ผู้ปกครองสอบดูว่า ลูกมีเงินทั้งหมดอยู่ในบัญชีเท่าไร และตักเตือนว่า หากซื้อของฟุ่มเฟือยชิ้นนี้แล้ว เงินในบัญชีจะเหลืออยู่เท่าไร เพื่อว่าลูกจะได้มีโอกาสใช้ความคิดของตน ในการตัดสินใจเบิกใช้หรือไม่ใช้เงินตน เพื่อซื้อหรือไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยชิ้นนั้น
        ทั้งนี้ เป็นการฝึกฝนลูกๆ ให้รู้จักใช้สติปัญญาและหลีกเลี่ยงการใช้เงินแบบไม่ได้ยั้งคิด จะได้เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ต่อไป ข้อสำคัญ ประสบการณ์นี้จะเป็นโอกาสให้ลูกๆ ได้ฝึกฝนตนในวัยที่ความผิดพลาดในการใช้เงิน จะยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายระดับมโหฬารเหมือนเมื่อเติบใหญ่   

        เห็นได้ว่า การฝึกฝนลูกๆ ให้เรียนรู้จากประสบการณ์เกี่ยวกับการเงินแต่ยังเยาว์วัย โดยมีโอกาสได้ฝึกหัดตัดสินใจใช้เงิน ไม่ใช้เงิน หรือเก็บสะสมเงิน ด้วยตัวเอง จะส่งผลดีต่อลูกๆ เองเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เพราะจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ดีกว่าเมื่อก่อนฝึก โดยเฉพาะรู้จักใช้ชีวิตให้อยู่ในกรอบของรายได้ นั่นคือ รู้จักใช้ชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ เป็นทักษะที่จะเป็นประโยชน์ติดตัวไปตลอดชีวิต

        อย่างน้อย ลูกๆ จะเรียนรู้ว่า เงินทองไม่ได้งอกเงยตามใบไม้ใบหญ้า และตนไม่จำเป็นต้องมีวัตถุสิ่งของตามอย่างผู้อื่น คือ ตนควรมีความเป็นตัวของตัวเอง 

        ผู้ปกครองที่ถูกเศรษฐกิจการเงินบีบรัด มีเท่าไรก็ไม่พอใช้สักที จะได้ไม่ต้องไปกระซิบที่ใบหูลูกๆ ก่อนนอนบ่อยๆ ว่า เมื่อเติบโตแล้ว เจ้าต้องออกไปหาเงินเข้าบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะโดยวิธีใดก็แล้วแต่ เพื่อจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่นเขาในเรื่องวัตถุเงินทอง ทั้งนี้ เป็นการชักนำลูกๆ ให้ก้าวสู่หนทางที่ผิดๆ สู่การเป็นสาวก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ยึดมั่นใน "ตัวกู ของกู" และมีแต่ "ความเห็นแก่ตัว" ซึ่งกำลังเผาบ้านเผาเมืองอยู่ทุกวันนี้

        เมื่อผู้ใหญ่ใช้เงินเป็น สังคมจะเริ่มมีความสงบสุข และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเศรษฐกิจถดถอย ไม่มากก็น้อย

        การปฏิรูปประเทศจึงน่าจะเริ่มที่พัฒนาผู้คนในสังคม มิใช่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจที่มีแต่ถดถอยไม่สิ้นสุด อย่างคนสติ "ไม่เต็มบาท."