Friday, May 15, 2015




พลเมืองเป็นใหญ่

โดย 


ไม่ว่าใครจะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรๆ ก็ไม่มีวันได้รธน.แบบที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า “กระสุนเงิน” (ซิลเวอร์บูลเลต silver bullet)


รธน.ยิ่งเขียนก็ยิ่งยุ่งยาก ยิ่งไปกระทบปัจจัยต่างๆ ได้ เช่น กระทรวงทบวงกรม พรรคการเมือง ตลอดจนพลเมืองปวงชน เป็นต้น ส่งผลให้รธน.ที่บรรจงเขียนด้วยเจตนาดี กลับกลายเป็นเรื่อง “ทำคุณบูชาโทษ” ได้

ผลกระทบต่อกระทรวงทบวงกรมปรากฏขึ้น เมื่อคณะผู้พิพากษาศาล รวม 427 คน ได้ออกมาคัดค้านมติของกมธ.ยกร่างฯ ที่ให้เพิ่มสัดส่วนคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม จากตัวแทนฝ่ายการเมืองที่เดิมมีอยู่ 2 คน เป็นอย่างน้อย 1 ใน 3 ว่า มติดังกล่าวทำให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีอิทธิพลในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษา กลายเป็นการทำลายศาลยุติธรรม มิใช่ปฏิรูปศาลยุติธรรมให้ดีขึ้น

ผลกระทบต่อพรรคการเมืองปรากฏขึ้น เมื่อนักการเมืองพรรคหนึ่งวิจารณ์ที่มาของ ส.ว.ในร่างรัฐธรรมนูญว่า ที่เขาเลือกคนของเขาขึ้นมาก่อนแล้วให้ประชาชนเลือกคนที่เขาได้เลือกขึ้นมาไว้อีกทีหนึ่ง และยืนยันว่ารับไม่ได้ เพราะถอยหลังสุดคลอง

ส่วนผลกระทบต่อพลเมือง นั้น เห็นได้จากการให้ “พลเมืองเป็นใหญ่” โดยให้พลเมืองมีองค์กรอย่าง “สมัชชาพลเมือง” ตรวจสอบการดำเนินงาน การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน การจัดซื้อจัดจ้างโดย “ผู้มีอำนาจ” รวมทั้งการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ตลอดจนผู้สมัครรับเลือกตั้ง

การตรวจสอบหรือ “จับผิด” โดยมุ่งหมายให้ผู้มีอำนาจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง เปรียบได้กับ “ดาบสองคม” ที่ฟาดฟันได้ทั้งผู้ตั้งใจทำงานด้วยความสุจริตและผู้ตั้งใจทุจริต ผลข้างเคียงคือคนสุจริตจะทำงานไม่สำเร็จ เพราะต้องคอยปกป้องชี้แจงตอบคำถามที่มีท่าทีไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจากพลเมือง

ส่วนคนทุจริตจะยังสามารถโกงกินชาติได้สำเร็จ เพียงใช้เล่ห์เหลี่ยมในการกล่อมหรือลดแลกแจกแถมให้พลเมือง แถมโปรยยิ้มสร้างความสนิทสนมไว้ จนพลเมืองกลายเป็นเครือญาติกับผู้มีอำนาจและกอดคอปรองดองกันอย่างหวานซึ้ง ในที่สุด พลเมืองก็กลายเป็นแมวน่ารักแสนเชื่อง แต่อนิจจาจับหนูไม่เป็นเสียแล้ว

การจับผิดผู้มีอำนาจที่ทำทุจริตเพื่อตัวเอง นั้น น่าจะให้ฝ่ายนิติรัฐนิติธรรมเป็นผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพและมีอุปกรณ์ทันสมัยสำหรับจับกุมผู้มีอำนาจที่ประกอบ “อาชญากรรมทางเศรษฐกิจของชาติ” อยู่แล้ว จะมัววุ่นวายไปไย?

“อาชญากรรมทางเศรษฐกิจของชาติ” คือ โจรกรรมที่นานาชาติถือว่าบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองอย่างร้ายแรงยิ่ง ประเทศหนึ่งที่ได้ทำการตรวจสอบผู้มีอำนาจที่ร่ำรวยล้นฟ้าท้ามหาสมุทรอย่างผิดปกติภายในเวลารวดเร็วปานฟ้าแลบเสมอมาได้แก่สาธารณะประชาชนจีน

ในปี 2557 รัฐบาลจีนได้ส่งรายชื่อผู้ได้รับการฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยข้อหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ราว 150 รายไปให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา พร้อมกับขอความร่วมมือในการจับกุมผู้ต้องหาเหล่านี้ ส่งกลับไปเข้ากระบวนการยุติธรรมที่จีน นับเป็นการไล่ล่าแบบสุดขอบฟ้ากันทีเดียว ผู้ได้รับคำพิพากษาว่ามีความผิดจริงจะถูกนับเป็นศัตรูของแผ่นดินที่ละเมิดความเป็นใหญ่ของพลเมือง มีสิทธิ์รับโทษขั้นสูงสุดถึงประหารชีวิต

หากต้องการให้ “พลเมืองเป็นใหญ่” ด้วยความจริงใจ รธน.น่าจะมีบทบัญญัติปกป้องคุ้มครองส่งเสริมสนับสนุนให้พลเมืองมีสิทธิ์รวมตัวกันด้วยจิตอาสา ระดับ “รากหญ้า” ในหมู่บ้านหรือตำบล แล้วแต่ความเหมาะสม ทั่วประเทศ เพื่อพิจารณากำหนดวิถีทางใน “การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจในชุมชนตน” ทั้งนี้ โดยได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ในการให้คำปรึกษาแนะแนวและข้อมูลความรู้ทันสมัยที่จำเป็นสำหรับการก่อตั้ง การกำหนดโครงสร้างหน้าที่ การดำเนินงาน ฯลฯ เพื่อกลุ่มจะได้นำไปพิจารณาตัดสินใจด้วยความรอบรู้ในงานพัฒนาชุมชนตนต่อไป

ขอเรียกกลุ่มรากหญ้านี้ว่า “สภาพลเมือง” สภานี้มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีชื่อเดียวกัน 

“สภาพลเมือง” มีความเป็นเอกเทศ มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งทาง “สังคมเศรษฐกิจ” ในชุมชนตน เช่น ให้พลเมืองมีความรู้ทักษะทัศนะคติในการเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดา ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงของในหลวง และค่านิยมหลัก 12 ประการของแผ่นดิน มีความรู้ทักษะทันสมัยกับทัศนะคติเหมาะสมสำหรับรองรับวิชาชีพใหม่ๆ ที่ยั่งยืน รักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ขจัดแหล่งอบายมุข ผันทรัพยากรชุมชนให้เป็นแหล่งรายได้ อนุรักษ์นิเวศวิทยา ใช้ทรัพยากร ธรรมชาติกับพลังงานอย่างชาญฉลาด เป็นต้น ทั้งนี้ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหนึ่งเดียว

ในระยะแรก หน่วยราชการจักต้องทำการประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วง เพื่อให้ชุมชนมีความเข้าใจ ความคุ้นเคย และความกล้าที่จะรับ “สภาพลเมือง” มาเป็น “วัฒนธรรมชุมชน” ของตน ต่อมา ชุมชนใดที่ได้ก่อตั้งสภานี้แล้ว และประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นตัวแบบหรือแรงดลใจให้กับชุมชนอื่นที่ยังรอดูผลลัพธ์อยู่

เมื่อได้ลงรากฐานในชุมชนแล้ว “สภาพลเมือง” ในฐานะที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย จะกลายเป็นกลไกถ่วงดุลกับ “สภาผู้แทนราษฎร” ที่เป็น “ผู้แทน” ของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอธิปไตย คือ หลังเลือกตั้ง นักการเมืองสามานย์อาจเล็ดลอดระบบคัดสรรเข้าไปนั่งโกงกินขายชาติบ้านเมืองในรัฐสภาอันทรงเกียรติอีก ในภาวะเช่นนี้ “สภาพลเมือง” จะช่วยบรรเทาบทบาทบริหารชาติบ้านเมืองของรัฐสภา ด้วยการกระจายอำนาจการบริหารจากส่วนกลางสู่พลเมืองท้องถิ่น ในขณะที่ชุมชนท้องถิ่นทำการพัฒนาชุมชนของตน ด้วยตนเอง และเพื่อตนเอง ตามหลักการประชาธิปไตย

“สภาพลเมือง” จะปลดแอกให้พลเมืองเป็นอิสรเสรีทางสังคมเศรษฐกิจ ไม่แบมือรับอะไรต่อมิอะไรตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลโกงกินขายชาติ ไม่เป็นเหยื่อโครงการลดแลกแจกแถมของนักการเมืองสามานย์ และไม่มีเงื่อนไขที่ผูกมัดตนให้ไปใช้เวลาสี่วินาทีหย่อนบัตรเลือกตั้งให้นักการเมืองไปโกงกินขายชาติอีก ทั้งนี้ พลเมืองจะได้เริ่มดำเนินวิถีชีวิตแบบ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” และมี “ภูมิคุ้มกัน” ทั้งทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจต่อไป

“สภาพลเมือง” ก็ดี รธน.ก็ดี ต่างก็เป็นระบบกลไกที่เปรียบได้กับ “ขวดเหล้าใหม่” ซึ่งไม่ว่าจะสมบูรณ์หรือไม่เพียงใด ก็มิอาจอำนวยประโยชน์อันพึงประสงค์เท่าที่ควร หาก “เหล้าใหม่” หรือ “พลเมืองเป็นใหญ่” ที่บรรจุเข้าไป ยังไม่พร้อมที่จะเป็นใหญ่ คือ ยังไม่มีจิตวิญญาณอันกอปรด้วยศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนกลไกประชาธิปไตยอย่างมีผลดี ในที่สุด เราก็จะได้แต่ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” อย่างเดิมๆ แล้วจะมีประโยชน์อันใด?

ฉะนั้น เพื่อให้ “พลเมืองเป็นใหญ่” เป็น “เหล้าใหม่ในขวดใหม่” เราน่าจะทำการปฏิรูปสังคมอย่าง “กว้างและลึก” กว่าที่ทำอยู่กับสี่กระทรวง คือ พัฒนาสังคมฯ สาธารณสุข ศึกษาธิการ และเทคโนโลยีฯ

ในการนี้ เราน่าจะให้ “กระทรวงวัฒนธรรม” ได้เข้าไปมีส่วนร่วมประสานงานกับทั้งสี่กระทรวงดังกล่าว เพื่อให้พลเมืองในข่ายสี่กระทรวงนี้ ได้เข้าถึงแหล่งที่มีองค์ความรู้สำหรับเสริมสร้าง “จิตวิญญาณ” ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนประชาธิปไตยตามเจตนารมณ์รธน.ได้อย่างยั่งยืน

พลเมืองย่อมมีศักยภาพที่จะปรับปรุงตนให้เก่งกาจยิ่งขึ้นในทางมงคลหรือในทางอัปมงคลต่อส่วนรวมได้ตลอดเวลา การพัฒนาพลเมืองหรือสังคม โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็น “ช้างเท้าหลัง” อยู่ตลอดมา รังแต่จะเพิ่มโอกาสให้พลเมืองปรับปรุงตนให้เก่งกาจยิ่งขึ้นในทางไม่พึงปรารถนาได้ ฉะนั้น ต่อให้มีรธน.อีกร้อยพันฉบับ ก็ไม่สามารถกอบกู้ชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นจากกำมือของ “ผู้มีอำนาจ” ที่บูชา “วัตถุเงินทองอำนาจ” เหนืออื่นใดและมองเห็นพลเมืองเป็นผักปลาที่ซื้อขายเป็นเข่งๆ ในตลาดสดสำหรับทำประโยชน์สนองตอบกิเลสตนที่ยึดมั่นในสิ่งที่ตนบูชา

ก่อนที่จะนำรธน.ร่างฯ สู่การทำประชามติ กมธ.ร่างฯ น่าจะหวนกลับไปทำการบ้านให้เรียบร้อยดีที่สุด พิจารณาข้อเสนอแนะจากพลเมืองด้วยจิตไร้อคติ ไร้อัตตา ไร้การยึดมั่นถือมั่นตามทัศนะคติหรือความเชื่อส่วนตน และเปิดใจเยี่ยงนักประชาธิปไตย ทำการยกร่างรธน.ใหม่หมด ทั้งนี้ เพื่อให้มีรธน.ที่ให้ “พลเมืองเป็นใหญ่” สมตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง

เมื่อทำสำเร็จแล้ว พลเมืองจะสรรเสริญชื่นชมในความอดทนกับความเสียสละตลอดจนความรับผิดชอบของกมธ.ร่างฯ ในขณะที่มีความซาบซึ้งใจในความกล้าหาญกับความเสียสละของคสช.ยิ่งขึ้น ที่ยอมเสี่ยงภัยกับเหตุการณ์ล่อแหลมทางการเมือง ในวันประวัติศาสตร์ที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อให้ชาติบ้านเมืองได้ปรับตนเข้าสู่เส้นทางมงคล ตามที่วีรชนกับทหารหาญได้เรียกร้องสละชีวิตเลือดเนื้อต่ออาวุธสงครามของผู้บูชา “วัตถุเงินทองอำนาจ” มาตลอด

“พลเมืองเป็นใหญ่” คือปัจจัยวิกฤติเดียวที่สามารถสานต่อเจตนารมณ์ดังกล่าวของคสช. 

ทำไมปาเกียวจึงแพ้?

โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com


ศึกชิงแชมป์รุ่นเวลเตอร์เวตโลก เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558 ณ เมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา สหรัฐ ระหว่างฟลอยด์ เมย์เวตเธอร์ อายุ 38 ปี (ฟลอยด์) ชาวอเมริกัน และแมนนี ปาเกียว 36 ปี (ปาเกียว) ชาวฟิลิปปินส์นั้น วงการกีฬามวยสหรัฐถือว่าเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ

ยิ่งใหญ่ที่สุดในด้านรางวัลตอบแทนที่สูงมากสุดๆ สำหรับนักมวยทั้งสอง คาดกันว่าตกราว 300 ล้านดอลลาร์ โดยใช้เวลาร่วม 5 ปีกว่าจะสรุปผลเจรจาลงนามในสัญญาได้ ซึ่งประกอบด้วยเงื่อนไขค่าตอบแทนนักมวย วิธีการตรวจร่างกายเพื่อป้องกันการแอบใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพนักมวย ค่าลิขสิทธิ์จากการถ่ายทอดสด แผ่นดีวีดี ค่าโฆษณา ฯลฯ

ที่เกรียวกราวได้แก่คำให้สัมภาษณ์ของฟลอยด์ ผู้พูดในทำนองว่า ปาเกียวจุกจิกไล่ล่าเอาค่าตอบแทนสูงๆ ทำให้มีสัญญาล่าช้า ปาเกียวก็โต้ตอบด้วยคำท้าทายฟลอยด์ให้บริจาครายได้ทั้งหมดของนักมวยทั้งสองให้แก่การกุศล ฟลอยด์ต้องหน้าเสียไป ไม่รับคำท้าที่ปาเกียวท้าด้วยความจริงใจ เพราะปาเกียวเป็นคนใจบุญช่วยเหลือชาวฟิลิปปินส์ยากจนมามาก แถมใจกว้างควักเงินส่วนตัวซื้อตั๋วแจกแฟนมวยที่มาเชียร์ตน รวมเป็นเงินราว 4 ล้านดอลลาร์ ค่าตั๋วราคามีตั้งแต่ 3,500 ถึง 250,000 ดอลลาร์ต่อ 1 ที่นั่ง (1 ดอลลาร์ ตกราว 32 บาท) ตั๋วผีตั้งขายในราคานับล้านดอลลาร์ขึ้นไป

โดยที่ตั๋วดูมวยคู่ยิ่งใหญ่คู่นี้เป็นตั๋วที่ใฝ่หากันยิ่ง ผู้ดำเนินงานจึงไม่ยินยอมให้บรรดาดาราภาพยนตร์และผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้เข้าชมฟรีรอบๆ สังเวียนตามธรรมเนียมเดิม แต่ให้บุคคลผู้รับเชิญเหล่านี้ได้ดูฟรี หากยินยอมนำสัญลักษณ์ของกิจการที่ต้องการโฆษณาในสนามมวยมาสวมใส่ขณะอยู่ในบริเวณเวทีมวย โดยกิจการนั้นยินดีเป็นผู้จ่ายค่าตั๋วราคาราว 100,000 ดอลลาร์ ให้ดูเหมือนว่าเงื่อนไขดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ ปรากฏว่ามีดาราดังๆ นั่งกระจายอยู่รอบสังเวียนด้วยเครื่องแต่งกายส่วนตัวกันทั้งนั้น

ทำไมปาเกียวจึงพ่ายแพ้ฟลอยด์?




1.ปาเกียวด่วนใจร้อนลงนามในสัญญา ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าตนได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่จากการขึ้นชกเมื่อราว 3 สัปดาห์ก่อน ต่อมาหัวไหล่ก็ยังไม่หายดีในวันใกล้ชกกับฟลอยด์ แถมมีอาการกำเริบ จึงขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐเนวาดาให้ฉีดยาแก้ปวดก่อนชก ซึ่งก็ได้รับอนุญาต แต่เจ้าหน้าที่กลับคำในวินาทีสุดท้าย ทำให้ค่ายปาเกียวคิดที่จะยกเลิกและเลื่อนการชกออกไป แต่เมื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียแล้ว ปาเกียวตัดสินใจเดินหน้าต่อไป ปาเกียวกล่าวหลังชกครบ 12 ยกว่า ตนต้องใช้แขนเพียงข้างเดียวชกตลอดเวลา เนื่องจากหัวไหล่ไม่ปกติ

2.ฟลอยด์เป็นนักมวยที่เคยชนะ 47 ครั้ง ติดต่อกันตลอด 19 ปี ไม่เคยแพ้ใครเลย กลายเป็นนักมวยที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในสหรัฐ มีบิดาซึ่งเป็นอดีตนักมวยเป็นครูฝึก จ้างคนครัวทำอาหารเป็นพิเศษ โดยคุยว่าบางมื้อตกราวหมื่นดอลลาร์ ตลอดจนมีรถยนต์ราคานับสิบล้านดอลลาร์ต่อคันร่วม 20 คัน ฉะนั้นจึงน่าจะอยู่ในฐานะที่จะซื้อหาคำแนะนำในด้านเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางกายภาพ และพัฒนายุทธศาสตร์การชกทั้งหมดจากกุนซือเก่งๆ ได้ไม่ยากนัก

โดยที่ปาเกียวเป็นนักชกลูกทุ่ง เดินหน้าลูกเดียว ตามด้วยการรัวหมัดซ้ายขวารวดเร็วปานฟ้าแลบอย่างนักตีกลองที่รัวกลองชุด พลางหาจังหวะลั่นหมัดซ้ายฟ้าผ่าของตนปิดเกม ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นส่วนใหญ่ในการชกครั้งก่อนๆ ตรงกันข้าม ฟลอยด์เป็นนักมวยชาญฉลาด มีกลยุทธ์รับและรุกที่แยบยล ราวกับถอดรหัสออกมาจากยุทธศาสตร์ใน "ตำราพิชัยสงคราม" ของปรมาจารย์ยิ่งใหญ่จีนโบราณ นามว่า "ซุนซื่อ" (ซุนหวู่)

3.ยุทธศาสตร์ของท่านซุนซื่อมีอยู่กว้างๆ ว่า "ขุนพลที่เก่งกาจในเชิงรุก จะทำให้คู่ปรปักษ์อ่อนแอในเชิงรับขุนพลที่เก่งกาจในเชิงรับ จะทำให้คู่ปรปักษ์อ่อนแอในเชิงรุก" ดูเหมือนว่า ฟลอยด์ใช้ยุทธศาสตร์นี้ตลอด 12 ยก จนแฟนมวยพากันโห่ร้องด้วยความรู้สึกว่า ฟลอยด์วิ่งหนีปาเกียว ขี้ขลาด ไม่กล้าแลกหมัดกับปาเกียว

4.ท่านซุนซื่อบอกกลยุทธ์แรกไว้ว่า "เมื่อเรายื่นจุดอ่อนของเราให้กับคู่ปรปักษ์ เราจะทำให้เขาเข้าหาเราตามที่เราต้องการ" คือ เมื่อเราใช้อุบายปล่อยเหยื่อให้กับคู่ปรปักษ์ เขาจะวิ่งเข้าหาเหยื่อของเรา ในการนี้ ฟลอยด์ทำเป็นถอยเรื่อยๆ จนติดมุมหรือเชือกสังเวียน ล่อให้ปาเกียวเข้าประชิดตัวรัวหมัดใส่ตน ในขณะที่ตนยกสองแขนปกป้องตัวไว้หมด พอได้จังหวะก็ลั่นหมัดชุดสองนัดเข้าเป้า เก็บคะแนน ก่อนก้มตัวลงต่ำ ดีดตัวออกทางข้างๆ แล้วส่ายศีรษะร้องเยอะเย้ยว่า "ไม่เป็นอะไรเลย" เพื่อทำลายขวัญปาเกียว ฟลอยด์ทำซ้ำในทำนองนี้มากครั้ง จนถูกแฟนมวยโห่ร้องเหยียดหยาม แต่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ฟลอยด์เอาตัวรอดได้ แถมทำให้ปาเกียวเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปบ้าง

5.ท่านซุนซื่อบอกกลยุทธ์ที่อยู่ตรงข้ามกับข้อ 4 ว่า "เมื่อเราก่อให้เกิดความเสียหายต่อคู่ปรปักษ์ เราจะทำให้คู่ปรปักษ์ขยาดที่จะเข้าประชิดเรา" คือ เมื่อเรารุกโจมตีจุดสำคัญของคู่ปรปักษ์ เขาจะเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นเชิงรับโดยปริยาย ในการนี้ ฟลอยด์ชกไปถูกที่ขาขวาของปาเกียว ปาเกียวประท้วงต่อกรรมการบนเวทีทันที ส่งผลให้ปาเกียวเริ่มแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวต่อกลยุทธ์บ้าบิ่นกล้าผิดกติกาของฟลอยด์ ทำให้ต้องตั้งสติใหม่ หันมาระวังตัวปกป้องตนมากขึ้นโดยปริยาย

6.ท่านซุนซื่อบอกกลยุทธ์ข้อต่อไปว่า "จงปรากฏตัวในที่ที่คู่ปรปักษ์ต้องรีบปกป้องตน" ในจังหวะประชิดตัว ฟลอยด์ใช้แขนยาวกว่าของตนรวบรัดคอปาเกียวให้ล็อกติดกับลำตัวตน ทำให้ปาเกียวหยุดรุกได้ฉมังและหันมาปกป้องตัวมิให้คอได้รับบาดเจ็บทันที ในขณะเดียวกันฟลอยด์ก็ชกที่ชายโครงปาเกียวเพื่อเก็บคะแนน

7.ท่านซุนซื่อบอกกลยุทธ์ที่คู่ขนานกับข้อ 6 ว่า "จงเคลื่อนที่อย่างว่องไว สู่จุดที่คู่ปรปักษ์ไม่ได้คาดคิด" มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ในอดีตฟลอยด์มักปักหลัก  ต่อสู้กับคู่ชกคนก่อนๆ อยู่บริเวณกลางสังเวียนเป็นส่วนใหญ่ แต่ครั้งนี้ฟลอยด์กลับเต้นอยู่รอบสังเวียนบ่อยๆ แสร้งถอยติดมุมหลายครั้ง ทำให้ปาเกียวต้องปรับกลยุทธ์ของตน คือ ตกอยู่ในภาวะผู้ตามในเชิงกลยุทธ์ ส่วนฟลอยด์กลายเป็นผู้นำเกม คอยลั่นหมัดไปถูกปาเกียว และเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ

8.ท่านซุนซื่อบอกกลยุทธ์ท้ายสุดไว้ว่า "ท่านจะประสบผลสำเร็จในการโจมตีได้แน่ หากท่านโจมตีจุดที่มิได้รับการปกป้องไว้" ฟลอยด์ใช้กลยุทธ์ข้อนี้กับปาเกียวและกับตัวเองด้วย คือ ไม่ยอมตั้งอยู่ในความประมาท พยายามไม่ให้มี "จุดที่มิได้รับการปกป้องไว้" มุ่งตั้งรับมากกว่าตั้งรุก เพราะตระหนักดีว่า หมัดซ้ายของปาเกียวมีฤทธิ์เดชทำให้ตนหน้าแตกหรือหลับได้ง่ายๆ อีกทั้งได้เจอจังๆ เข้าครั้งหนึ่ง จนปากเบี้ยว เล่นเอาเซไปพักหนึ่ง เมื่อตั้งรับปกป้องตนอย่างเข้มแข็ง ปาเกียวก็ย่อมทำอันตรายตนไม่สำเร็จ ฉะนั้น เมื่อไม่ยอมใช้มาตรการประจัญบานอย่างปาเกียว แฟนมวยในสนามจึงตัดสินให้ฟลอยด์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย

เมื่อครบ 12 ยก ปรากฏว่า ฟลอยด์ได้คะแนนชนะจากกรรมการทั้ง 3 เป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนน 118-110, 116-112 และ 116-112 ฟลอยด์ชกถูกปาเกียว 148 ครั้ง จากการรัวหมัด 435 ครั้ง (ร้อยละ 34) ส่วนปาเกียวชกถูกฟลอยด์เพียง 81 ครั้ง จากการปล่อยหมัด 429 ครั้ง (ร้อยละ 19) ทั้งนี้ เป็นการนับด้วยระบบคอมพิวบ๊อกซ์ที่มีคน 2 คนคอยจับตาดูคู่ชกประจำตัวของตน ในขณะที่เลือกกดปุ่ม 4 ปุ่มที่กำกับ 4 ท่าชก ส่งจำนวนครั้งเข้าเครื่องคำนวณ เพื่อประกอบการตัดสินของคณะกรรมการ

ฟลอยด์เป็นนักมวยระดับอภิมหาเศรษฐีที่มีค่านิยมใน "วัตถุเงินทอง" สูง คือ เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" สื่อบางแห่งตั้งฉายาว่าเป็น "นักมวยนักธุรกิจ" รวมเป็นคนเดียว ผู้รู้จักปล่อยหมัดอย่างประหยัด นิยมสรรหาความสุขใส่ตนด้วยการสรรหาวัตถุสิ่งของหรูหราฟุ่มเฟือยราคาแพงๆ ในขณะเดียวกัน สื่อต่างๆ พากันประโคมกันว่า ฟลอยด์ก็มีปัญหาความสัมพันธ์ที่มีความก้าวร้าวรุนแรงในครอบครัว โดยกล่าวหาว่าฟลอยด์รังแกชกต่อยเพศหญิง ทำให้ผู้หญิงในสังคมไม่ชื่นชอบฟลอยด์เท่าใดนัก

ส่วนปาเกียวเป็นนักมวยลูกทุ่ง มาจากความยากจนข้นแค้น ไต่เต้าเส้นทางเศรษฐกิจสู่ความร่ำรวยจากการขึ้นสังเวียน แต่รวยน้อยกว่าฟลอยด์หลายเท่า กระนั้นก็ตาม ปาเกียวเป็นคนใจกุศล มี "จิตนิยม" สูง คือ เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ช่วยเหลือชาวฟิลิปปินส์ด้วยกันที่ประสบความเดือดร้อนมาตลอด เช่น อนุญาตให้เด็กหนุ่มยากจนทั้งหลายในชุมชนตนมีสิทธิ์ใช้สถานที่ฝึกซ้อมมวยของตนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะต้องการให้เด็กเหล่านี้สามารถออกไปชกมวยทำเงินเลี้ยงดูบิดามารดา บริจาคเงินช่วยบิดามารดาของเด็กหนุ่มบางคนให้ได้รับการเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีความตั้งใจทำงานอันทรงเกียรติช่วยเหลือผู้ยากไร้ เป็นต้น

ไม่ว่าใครจะมีค่านิยมอย่างใด ข้อสำคัญ พึงมียุทธศาสตร์ในการดำเนินชีวิต รู้จักจัดการอย่างมีผลดีกับเหตุการณ์ที่อาจไม่ส่งเสริมสนับสนุนตน โดยประยุกต์ยุทธศาสตร์จาก "ตำราพิชัยสงคราม" ของท่านซุนซื่อ ผู้มีพื้นฐานอยู่กับหลักปรัชญาของปรมาจารย์เล่าจื้อ อย่างที่ฟลอยด์ได้แสดงออกมาตลอด 12 ยก อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าฟลอยด์จะรู้จักท่านซุนซื่อหรือไม่ก็ตาม

สรุป ฟลอยด์รู้จักตั้งรับและตั้งรุกปาเกียวอย่างมีศาสตร์และศิลป์ โดยมิคำนึงหรือสนใจว่าแฟนมวยจะพอใจกับวิธีการชกของตนหรือไม่ แต่คำนึงเพียงอย่างเดียวคือ เอาตัวรอดปลอดภัยสู่ชัยชนะที่ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 48 จนสำเร็จ หากชนะติดต่อกันอีกเป็นครั้งที่ 49 ต่อไป ฟลอยด์จะทำสถิติเสมอกับร็อกกี้ มาร์เซียโน นักชกโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก.


แผ่นดินไหวกับโลกร้อน:พุทธมีมุมมองอย่างไร?

ดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต  dhanarat333@gmail.com



พระพุทธศาสนา (พุทธ) มีคำอธิบายเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวที่เนปาลเมื่อเร็วๆ นี้ และโลกร้อนทุกวันนี้อย่างไร?

พุทธมีคำอธิบายง่ายๆ คือ จักรวาลไม่ได้มีอยู่เพื่อตอบสนองความต้องการ ความปรารถนา หรือกิเลสของมนุษย์  จักรวาลไม่รับรู้ความทะเยอทะยานของมนุษย์ ไม่ยี่หระต่อมนุษย์ จริงๆ แล้ว ภัยธรรมชาติดังกล่าวมีมาก่อนมนุษย์เกิดเสียอีก


พุทธมองภัยธรรมชาติด้วย "เหตุ" และ "ผล" ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่


แผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีเหตุมีผลและความเป็นมาอย่างไร?

จากข้อมูลความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แผ่นเปลือกโลกที่มีรอยร้าวอยู่กว่า 20 แห่งทั่วโลกนั้น ประกอบด้วยแผ่นหินมหึมาสองแผ่นที่ประกบกันหรือยันกันอยู่ ซึ่งอาจอยู่บนบกหรือใต้น้ำทะเล เมื่อได้รับพลังผลักดันจากรอบตัวมากพอ แผ่นหินคู่นี้จะเคลื่อนตัวตามแนวร้าว ทำให้แผ่นดินหรือมวลน้ำทะเลเคลื่อนตัวคล้อยตามด้วย คือ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นสึนามิ


ผู้คนวัตถุที่อยู่บนแผ่นดินไหว เปรียบได้กับผู้คนวัตถุที่อยู่บนพรมปูพื้นที่ถูกผู้อื่นกระชากออกจากตำแหน่งเดิม คือ จะเสีย "ศูนย์ทรงตัว" หกล้มหกลุก ตกจากเก้าอี้หรือเตียง สิ่งปลูกสร้างจะถูกเขย่าให้เอนเอียงไปมา ทำให้โครงสร้างชำรุดแล้วพังทลายลงมา ผู้คนจะถูกวัตถุแข็งรอบตัวกระแทกที่ศีรษะกับร่างกาย ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ฯลฯ


แผ่นดินไหวที่สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 นี้ วัดคะแนนสั่นสะเทือนได้ที่ระดับ 7.8 จากคะแนนเต็ม 10 (คะแนนยิ่งสูงก็ยิ่งแรง) โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้ดินเพียง 10 กม. ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงประเทศอินเดียและทิเบตด้วย ทั้งนี้ มีการสูญเสียชีวิตนับพันๆคน ผู้บาดเจ็บ ไร้บ้าน ขาดแคลนปัจจัยสี่นับแสนคน อาคารบ้านเรือนเสียหายกว่าสองแสนหน่วย ราวแปดล้านคนได้รับความเดือดร้อน ศาสนสถานล้ำค่าพังทลายเกลื่อนกลาด ยังความเศร้าสลดเสียใจยิ่งในหมู่ผู้เห็นเหตุการณ์ องค์การสหประชาชาติคาดคะเนว่า มีผู้คนราวล้านกว่าคนที่ต้องรับอาหารช่วยเหลือต่อไปอีก 3 เดือน


ภายหลังแผ่นดินไหว นักวิทยาศาสตร์พบว่า บริเวณยอดเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่ใกล้รอยร้าวต้นเหตุ ถูกเขย่าอย่างแรง ส่งผลให้ยอดเขาลดความสูงลงมาราวหนึ่งนิ้ว และพื้นดินบริเวณเมืองหลวงกาฐมาณฑุของเนปาล ยกระดับสูงขึ้นถึงสามฟุต ทั้งนี้ เป็นเพียงตัวเลขสอบวัดขั้นแรกเท่านั้น


ตามคติพุทธ แผ่นดินไหวคือภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างมี "เหตุ" และ "ผล" พุทธมองว่าแผ่นดินไหวไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ การเบียดเบียนกัน หรือการก่อกรรมทำเข็ญระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติก่อน คือ มนุษย์ไม่ได้ทำบาปต่อมนุษย์ เทพเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้า แล้วได้รับแผ่นดินไหวเป็นผลตอบแทน


ก่อนที่จะเคลื่อนตัวตามรอยร้าว แผ่นเปลือกโลกก็อยู่ใน "ความสมดุล" หรือ "พอดี" อยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับสะสมพลังงานเพิ่มเติมจากรอบๆ ตัว เช่น พลังคลื่นสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่อื่น การทดลองระเบิดปรมาณูลึกลงไปใต้ดินใกล้เคียง ตลอดจนไอร้อนที่ทำให้แผ่นหินขยายตัว เป็นต้น แผ่นเปลือกโลกก็จะไม่อยู่ใน "ความสมดุล" อีกต่อไป แต่จะปรับตัวสู่ "ความสมดุล" ด้วยการเคลื่อนตัวตามรอยร้าวดังกล่าว จนกว่าจะหยุดเมื่อบรรลุ "ความสมดุล" ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้ทันที ยากที่นักวิทยาศาสตร์จะทำนายล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำและมีเวลาสื่อสารเตือนภัยให้ผู้คนหลีกหนีได้ทันควัน


ในทำนองเดียวกัน เมื่อเกิดพายุฝนมหึมา ลมที่พัดอย่างแรงสามารถผลักดันเคลื่อนย้ายบ้าน หลังคา ทำลายกระจกหน้าต่าง ยกรถยนต์ทั้งคันขึ้นสูงแล้วปล่อยให้ตกลงมาทับผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องล่างได้ และฝนขนาดมหึมาก็สามารถทำให้ดินถล่มกับน้ำท่วมฉับพลันได้ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ไม่น้อยเช่นกัน


ตามคติพุทธ พายุฝนก็คือภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวที่มนุษย์ไม่ได้ก่อให้เกิดขึ้นจากการไปก่อกรรมทำเข็ญหรือทำบาปต่อผู้ใดทั้งสิ้น


อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นมาร่วม 50 ปีแล้วว่า พายุฝนจะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น ตราบใดที่มนุษย์ไม่ลดละเลิกการละเมิดต่อธรรมชาติ เนื่องจากธรรมชาติจักต้องออกแรงกอบกู้ "ความสมดุล" กลับคืนมา


มนุษย์เริ่มละเมิดธรรมชาติอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อราว 255 ปีก่อน โดยเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติไปในการผลิตวัตถุปรุงแต่งที่มุ่งบำรุงบำเรอรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกับอำนวยความสะดวกสบายทางกาย และได้ก่อให้เกิดผลพวงที่เป็นมลพิษต่างๆ โดยเฉพาะก๊าซที่ออกมาทางปล่องควันไฟโรงงานและท่อไอเสียเครื่องยนต์ เรียกกันว่า "ก๊าซเรือนกระจก"


เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมนับล้านแห่ง รถยนต์นับล้านๆคัน เครื่องบินโดยสารไอพ่นเชิงพาณิชย์นับหมื่นเครื่อง พร้อมกันขับ "ก๊าซเรือนกระจก" ออกมาตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดปี นับสิบๆ ปี จนสะสมเป็นม่านหมอกหนาลอยตัวอยู่เหนือผิวโลก และเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงมากระทบผิวโลก พลังร้อนจากแสงอาทิตย์จะไม่สามารถสะท้อนขึ้นท้องฟ้า เพื่อกระจายพลังร้อนสู่นอกโลก ตามระบบธรรมชาติปกติ เพราะถูกม่านหมอก "ก๊าซเรือนกระจก" ดูดซับกักขังไว้ ผลก็คือ อุณหภูมิบรรยากาศโลกขยับสูงขึ้น ทั้งบนบกและทะเล โลกปกติก็มีอาการเป็นไข้ คือ "โลกร้อน" (Global Warming) โดยปริยาย


นอกจาก "ก๊าซเรือนกระจก" จากน้ำมือมนุษย์แล้ว โลกยังมีวงจรร้อน-หนาวของตัวเองด้วย คือ มียุคร้อนอย่างปัจจุบันที่เกิดสลับกับยุคน้ำแข็งทุก 50,000 ปี และมีสองคลื่นใต้น้ำมหาสมุทร ชื่อว่า  เอลนีโญ (El Nino) และลานีญา (La NiNa) ที่มีวงจรราว 3-7 ปี สลับกันส่งพลังงานอิทธิพลต่อโลก เอลนีโญทำให้โลกอุ่นขึ้นกับมีภัยแล้ง ส่วนลานีญาทำให้โลกเย็นลงกับมีฝนตกน้ำท่วมกว้างขวาง


ขณะนี้นักอุตุนิยมวิทยาสหรัฐอเมริกาประกาศว่า เอลนีโญกำลังเริ่มปรากฏตัวแล้ว และทำนายว่าจะส่งผลให้เขตแดนไทยเข้าสู่วงจรอากาศร้อนกับมีภัยแล้งในหลายปีข้างหน้า ดังนั้น เมื่อผสมผสานกับอาการ "โลกร้อน" แล้ว อากาศร้อนในไทยน่าจะทวีความแรงยิ่งขึ้นอีก 3-7 ปีต่อไป


ผลของ "โลกร้อน" มีมากมาย น่าหดหู่ใจยิ่ง เช่น มีพายุฝนและน้ำท่วมฉับพลันเป็นแห่งๆ พายุรุนแรงเกิดถี่ขึ้น หิมะขั้วโลกเหนือและใต้ละลายมากผิดปกติ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น บางเกาะกลางทะเลถูกทะเลกลืนหายไป ชายฝั่งทะเลของแผ่นดินใหญ่บางแห่งหดหายไป ฝนตกผิดที่ผิดปริมาณ ฤดูกาลเหลือแต่หน้าร้อนแล้งกับหน้าฝนน้ำท่วม พืชผักผลไม้ให้ผลิตผลผิดปกติ ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ ทำให้ราคาขายสูงขึ้น และความแล้งในบางแห่งทำให้มีไฟไหม้ป่าบ่อยขึ้น ส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมอย่างรุนแรง


ทั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พุทธได้สะท้อนให้เห็นไว้แล้วใน "ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ ได้แปลไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า "สภาวธรรมที่เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยซึ่งกันและกัน"นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนผู้บริหารชาติบ้านเมืองทั่วโลกมาราว 40 ปีแล้ว ให้เตรียมมาตรการป้องกันแก้ไขการจลาจลที่จะเกิดขึ้นจากโลกร้อน เมื่ออาหารเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ความรวยและความจนจะไม่มีความหมายอย่างที่เคยมีมาก่อน


พุทธได้สอนและเตือนสติมนุษย์มา 2,558 ปีแล้วว่า "จงทำดี งดทำชั่ว ทำจิตให้เบิกบาน" เพื่อจะได้ไม่เป็นเหยื่อโลกมายาที่หลอกลวงชักนำมนุษย์ไปสู่ "ความตะกละ" "การเอาแต่ได้" "ความไม่พอเพียง" ซึ่งล้วนเป็นวัฒนธรรมอัปมงคลที่ทำลายธรรมชาติ


พุทธได้ชี้ทางออกง่ายๆ คือ มนุษย์พึงปฏิบัติตนดั่ง "ภมรผึ้ง" ที่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ด้วยความทะนุถนอม ไม่ทำให้ดอกไม้ชอกช้ำเสียหาย ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้ดอกไม้ได้ผสมเกสรตัวผู้ตัวเมีย ทำให้เกิดผลไม้ตามมา "วัฒนธรรมของแมลงผึ้ง" คือวิถีชีวิตที่กอปรด้วยสติปัญญาชาญฉลาด ยั่งยืน และอยู่กับธรรมชาติ บนพื้นฐานของ "เหตุ" และ "ผล" ที่เชื่อมโยงกัน


ทว่า มนุษย์หาสนใจในคำสอนของพุทธดังกล่าวไม่ กลับตั้งอยู่ในมิจฉาทิฐิ ยอมเป็นเหยื่อให้กับมายาคติ ทำการผลิตและยึดติดวัตถุสิ่งของเกินความจำเป็น จนมนุษย์มี "ปัจจัยที่ห้า" ท่วมหลุมขยะเป็นภูเขาใหญ่โต และยึด "วัฒนธรรมบริโภคล้นเกิน" เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อโอ้อวดความร่ำรวยแห่งตน ไม่ให้น้อยหน้าผู้อื่น คือ มนุษย์ได้เลือกที่จะหลับหูหลับตาทำลายระบบนิเวศวิทยาอย่างเมามัน และกำลังขยันขุดหลุมฝังศพให้กับตัวเองและลูกหลานอยู่โดยมิรู้ตัว


เมื่อโลกร้อนถึงระดับที่ไม่มีมนุษย์มากพอที่จะทำลาย "ความสมดุล" ในธรรมชาติได้อีกแล้ว โลกก็จะค่อยๆ ปรับตัวเข้าสู่ "ความสมดุล" โดยอาจใช้เวลานานกว่า 255 ปีโลก-จักรวาล-ธรรมชาติไม่มีวันพ่ายแพ้มนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นเพียง "อนุภาคนาโน" ขนาดเล็กกว่าเม็ดฝุ่นที่ตลบคลุ้งอยู่ไม่ถึงพริบตาเดียวเท่านั้น ส่วนจักรวาลมีอายุยาวนานมาร่วม 13,000 ล้านปี และจะมีอายุอยู่ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ แทบจะไม่มีวันสิ้นสุด


นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า จักรวาลไม่มีทีท่าว่าจะหดตัว มีแต่จะเติบโตขยายตัวออกไปเรื่อยๆ แต่ก็จะต้องแตกดับไปในที่สุด ตามคำสอนในพุทธที่ว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มีแต่อนิจจัง


ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวที่เนปาล ได้ก่อให้เกิดความทุกข์มหันต์ในกลุ่มชนชาวเนปาลและชนชาติใกล้เคียง ยังความโศกเศร้าเสียใจไปทั่ว ในขณะเดียวกัน ก็น่ายินดีที่มีผู้ใจบุญได้พากันบริจาคส่งปัจจัยไปช่วยเหลืออย่างมากมาย


ภัยธรรมชาติเป็นข้อเตือนใจมนุษย์ให้หันมาพิจารณาเชิงพุทธว่า แม้จะไม่ได้ละเมิดศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ตนได้ละเมิดธรรมชาติและก่อให้เกิดการสูญเสีย "ความสมดุล" ในธรรมชาติหรือเปล่า? ใครล่ะเป็นผู้กล้าเสี่ยง "ชีวิต" เข้าไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากภัยธรรมชาติอย่างไร้อัตตา ไร้การยึดติดใดๆ ทั้งสิ้น?


โลก-จักรวาล-ธรรมชาติ มีเหตุมีผลและความรู้สำนึกที่จะรักษา "ความสมดุล" ไว้เสมอ โดยไม่ยี่หระต่อมนุษย์เลย มนุษย์ต้องตั้งสติปัญญาเอาใจทะนุถนอมธรรมชาติดั่งภมรผึ้ง เพื่อประโยชน์ของมนุษย์และธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นผู้มีชัยเสมอ.