วิบากกรรมประชาธิปไตย
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
เมื่อนักการเมืองสามานย์เสนอซื้อคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้ว ทำไมประชาชนจึงยินยอมขายเสียงด้วย?
เพราะประชาชนถูก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้น โดยถูกสอนให้ประเมินค่าของคนที่จำนวน “เงินทองของมีค่า” ในครอบครองของแต่ละคน แทนจำนวน “ปีของการทำบุญสร้างกุศล” อย่างเช่นประชาชนในสมัยเมื่อไม่นานมานี้ทำกัน แถมยังถูก “นักการเมืองสามานย์” ซึ่งเป็นสาวกลัทธิดังกล่าว มอมเมาให้เป็นทาสของ “ลัทธิบริโภคนิยม” เพื่อเสริมสร้างความร่ำรวยให้แก่นายทุนที่เป็นสาวกลัทธิเดียวกัน เพื่อว่าประชาชนจะได้ “ไม่มีการออมทรัพย์” ตกเป็นทาสของ “เงินทอง” เป็น “หนี้นอกระบบ” ไปเรื่อยๆ จะได้ง่ายต่อการซื้อเสียง โฆษณาชวนเชื่อ และบงการการเลือกตั้งโดยมิชอบ “ประชาธิปไตย” จะได้อยู่ในสภาพ “ซากศพ” ไปเรื่อยๆ
อำนาจเงินทอง คือ อาหารเชื้อเพลิงของลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ ภาพ บักต์
เมื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขายเสียงให้ แล้วส่งลูกบอลการเมืองให้นักการเมืองสามานย์เล่นต่อ การถอนทุนอย่างมันมือของนักการเมืองเหล่านี้ก็เกิดขึ้นตามมาเป็นประเพณีนิยมทางการเมือง จากนั้น “ผีนักเผด็จการ” ก็เข้าสิงจิตวิญญาณของ “สัตว์เศรษฐกิจ” เหล่านี้ ก่อให้เกิดการเหมาซื้อ ส.ส. และ ส.ว. พรรคการเมือง องค์กรอิสระ ข้าราชการสำคัญๆ สื่อมวลชน ฯลฯ เป็นเข่งๆ แล้วแสดงละครการเมืองน้ำเน่าเดิมๆ ให้ประชาชนได้ชื่นชม จนกว่าจะถึงวาระเลือกตั้งต่อไป ในขณะเดียวกัน แผ่นดินไทยถูกตัดขายเป็นท่อนๆ ประชาชนต้องทนอยู่กับ “นรกบนดิน” ที่ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” มอบให้ด้วยความจริงใจต่อไป
ผู้ไร้ถิ่นฐานนอนพักอยู่ในสวนสาธารณะ กทม. ภาพ ธนรัตน์
ภายใต้ภาวะซื้อสิทธิขายเสียงดังกล่าว เมืองไทยก็ถูกจี้ปล้นโดยนักการเมืองสามานย์ที่เป็นสาวก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” อาวุธที่ใช้ก็มีเพียงสองอย่าง คือ “ธนาธิปไตย” กับ “อัตตาธิปไตย” ส่วน “ประชาธิปไตย” นั้น ใช้ไม่ได้ เพราะอยู่ในสภาพ “ซากศพ” จากการซื้อสิทธิขายเสียงและโฆษณาชวนเชื่อมาตลอด มิน่าเล่า ทุกวันนี้ “คารวะธรรม” คือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ชีวิตคนมีค่าเท่ากับผักปลา การตั้งค่าหัวบุคคลอื่นทำกันได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก ฯลฯ ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นแผนที่ความคิดอ่านอันอุบาทว์ของ “สัตว์เศรษฐกิจ” ที่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
ทำอย่างไรจึงจะมี “ประชาธิปไตย” ในไทย?
เห็นจะมีจริงๆ ได้ยากมาก เนื่องจาก “ประชาชน” และ “ประชาธิปไตย” มิใช่ “เนื้อคู่” ที่สวรรค์จัดไว้ให้แก่เมืองไทย
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นเพียงสัญลักษณ์ของระบอบแต่ไร้จิตวิญญาณ ภาพ รมราช
“ประชาธิปไตย” คือระบอบการปกครองที่ดีมีประโยชน์ ทว่า “ประชาชน” ซึ่งเป็นหัวใจของ “ประชาธิปไตย” จะต้องผ่านการฝึกอบรมปลูกฝังจิตวิญญาณ “ประชาธิปไตย” มาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะให้มี “คารวะธรรม” แต่ผู้นำไทยในหลายยุคหลายสมัยต่างประสบความล้มเหลวในเรื่องฝึกอบรมดังกล่าว ด้วยผู้ฝึกอบรมเองก็ไม่ถนัดที่จะคิดตามแนว “ประชาธิปไตย” ของตะวันตกอยู่แล้ว
อีกประการหนึ่ง รูปแบบ “ประชาธิปไตย” ที่สั่งเข้ามา นั้น เป็นของโลกตะวันตก ซึ่งมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนลักษณะการใช้ความคิดที่แตกต่างกับไทยแบบ “ขาวกับดำ” โลกตะวันตกเน้นการหยั่งรู้โลกด้วย “ตรรกศาสตร์” ส่วนไทยเน้นการหยั่งรู้ด้วย “จิตวิญญาณ” ภาษาโลกตะวันตกมี “คำนาม” นับไม่ถ้วน เพราะจำเป็นสำหรับการใช้ “ตรรกศาสตร์” ส่วนภาษาไทยหรือโลกตะวันออกมี “คำนาม” น้อยมาก แต่มี “คำกริยา” เป็นศัพท์โดดเด่นที่หยั่งรู้โลกตามธรรมชาติ ในลักษณะที่เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง อนิจจัง อยู่เสมอ
ฉะนั้น “ประชาธิปไตย” ที่ถูกสั่งเข้ามา จึงเสมือนเสื้อนอกที่งามสง่าน่าสวมใส่ แต่ใส่แล้วจะรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วกาย ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรวิ่งเข้าหาความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่สั่งเข้ามาเช่นกัน ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไม่มีหิมะอย่างโลกตะวันตก
แม้ว่านักการเมืองไทยที่มีสมรรถภาพในการคิดอย่างโลกตะวันตก จะมีอยู่มาก แต่ที่ไร้สมรรถภาพดังกล่าว ก็มีอยู่มากกว่าหลายเท่าทีเดียว แล้วจะให้สองคนนี้พูดคุยกันอย่างเข้าใจกันได้อย่างไร! “ประชาธิปไตย” จะมีในไทยได้อย่างไร!
แล้วระบอบการปกครองแบบใดจึงเหมาะสมกับไทย?
เมืองไทยมีพระพุทธศาสนาอยู่คู่บ้านคู่เมืองมานานกว่า 700 ปีแล้ว จึงมีระบอบการปกครองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์มาแต่สมัยกรุงสุโขทัย โดยประชาชนก็ได้ประสบกับความเจริญสุขพอสมควรตลอดมา ชาติไทยจึงมีธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์
พระพุทธรูปแห่งอริยชน กรุงสุโขทัย คือแสงสว่างของลัทธิสัตว์ประเสริฐ ภาพ ธนรัตน์
แม้ว่าพระธรรมในพระพุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองเป็นการเฉพาะ แต่มีหลักปฏิบัติต่อกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น พรหมวิหารสี่ มรรคมีองค์แปด เป็นต้น ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้อสำคัญ พระธรรมสอนให้ทุกคนพึ่งตนเอง ให้รู้จักใช้สติปัญญาของตน ไม่งมงายยึดก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขาไฟ จิ้งจก ฯลฯ เป็นสรณะ ไม่หลงเชื่อผู้อื่นง่ายๆ ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ แต่สอนให้ฝึกฝนจิตตนเองให้มีสมาธิ มีความรับผิดชอบต่อการกระทำหรือกรรมของตนเอง ตามกฎแห่งกรรม รู้จักกิเลสตัณหาและการยึดติดอันเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งปวง
ทั้งนี้ เป็นพระธรรมที่เสริมสร้างคนให้มีคุณภาพ เมื่อมีคุณภาพ ทุกคนก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขอย่างเช่นสมัยโบราณกาล ไม่จำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้งอย่างสมัยปัจจุบัน
เมืองไทยไม่จำเป็นต้องรับระบอบการปกครองจากต่างประเทศเข้ามาเป็นของตน ประชาชนจำนวนมากมีภูมิปัญญามากพอที่จะสร้างสรรค์ระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอันดีงาม จิตวิญญาณของชาวพุทธ ตลอดจนเอกลักษณ์ของ “ความเป็นไทย”
ระบอบที่เหมาะสมกับราชอาณาจักรไทยได้แก่ “ธรรมาธิปไตย” ซึ่งลูกศิษย์ท่านพุทธทาสรู้จักดีมานานแล้ว
ท่านปรมาจารย์พุทธทาส ภิกขุ ได้รับการยกย่องยอมรับจากองค์การการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติในฐานะเป็นผู้มีศักยภาพนำมนุษยชาติสู่สังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นธรรม
“ธรรมาธิปไตย” คือระบอบการปกครองที่เปิดประตูสู่ “ลัทธิสัตว์ประเสริฐ” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ซึ่งล้วนแต่บอกทิศทางการใช้ชีวิตอันนำไปสู่ความสงบสุขตามแนวพุทธอย่างแท้จริง อนึ่ง องค์การสหประชาชาติได้ศึกษาปรัชญาดังกล่าว และได้แนะนำให้บรรดาประเทศภาคีทั้งหลายนำไปประยุกต์ให้เกิดความเจริญสุขต่อชาติบ้านเมืองตนต่อไปอีกด้วย
การขับเคลื่อนเมืองไทยสู่ “ธรรมาธิปไตย” นั้น ต้องใช้เวลายาวนานมาก อาจนานถึงสิบปี โดยเริ่มที่ “การปฏิรูปค่านิยม” ในสังคม เพื่อให้ปวงชนชาวไทยได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาของตนอย่างแท้จริง เพื่อว่าประชาชนทั้งประเทศจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีศีลธรรมจริยธรรม กอปรด้วยสติปัญญา และมีความสงบสุข
ข้อสำคัญ ประชาชนจะต้องอยู่ในบรรยากาศสงบเงียบสำหรับศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนแห่งศาสนาตน ปราศจากความวุ่นวายเดือดร้อนทางการเมืองที่ก่อโดยสาวก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ผู้ไม่เคยพอเพียง อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้
ในการนี้ หากจำต้องมี “รัฐประหาร” จะโดยสงบหรือใช้กำลังทหาร ก็ต้องมี โดยเฉพาะเมื่อทำด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งไปสู่การเสริมสร้างผลประโยชน์ให้ตกกับประชาชนทั้งหลายอย่างแท้จริง ดังเช่นที่ประเทศสัมพันธมิตรใช้อำนาจกำลังพลระดับเฉียบขาด “เผด็จศึก” เยอรมนีของนายอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แบบ “ม้วนเดียวจบ” แล้วอยู่ต่อเพื่อฟื้นฟูดูแลสวัสดิภาพของชาวเยอรมัน อีกทั้งเสริมสร้างระบอบการปกครองของเสรีชนอยู่หลายปี
เห็นได้ว่า การเผด็จศึก จะโดย “รัฐประหาร” อย่างสงบหรือใช้กำลังทหาร หรือโดยการทำลายอำนาจของคู่สงคราม มิใช่ความชั่วร้ายแต่อย่างใด คนชั่วสามานย์ต่างหากที่ทำให้ทางเลือกดังกล่าวชั่วร้าย
หน่วยลงคะแนนเลือกตั้งหลายแห่งคือสถานที่พิฆาตประชาิธิปไตยด้วยการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
อย่างแยบยล ภาพ ธนรัตน์
“ประชาธิปไตย” ในไทยถูกฆาตกรรมแบบไม่ต้องได้ผุดได้เกิดมาตลอด ขอให้หยุดนำขึ้นกล่าวอ้างได้แล้ว
ณ วันนี้ ไทยกำลังเผชิญกับสุญญากาศมหาภัยทางการเมือง แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด เพราะยังมี “ธรรมาธิปไตย” เป็นทางออกโค้งสุดท้ายข้างหน้าสำหรับราชอาณาจักรไทย.
ณ วันนี้ ไทยกำลังเผชิญกับสุญญากาศมหาภัยทางการเมือง แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด เพราะยังมี “ธรรมาธิปไตย” เป็นทางออกโค้งสุดท้ายข้างหน้าสำหรับราชอาณาจักรไทย.
No comments:
Post a Comment