เหล้าใหม่ในขวดใหม่
เราจักอุทิศตน
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
... พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่
จักอุทิศตนต่องานที่ทหารหาญของเราได้ต่อสู้ไว้อย่างสง่างามสมชายชาติทหาร
แต่งานนั้นก็ยังค้างคาอยู่ เราจัุกอุทิศตนต่องานอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า
เหนืออื่นใด เราจักอุทิศตนอย่างยิ่งยวดต่อเป้าประสงค์ที่ทหารหาญของเราได้ยอมอุทิศชีวิตไว้
เราจักปฏิญาณตนว่า
ชีวิตของทหารหาญของเราเหล่านี้จักมิต้องสูญเปล่าไปบนสมรภูมินี้ ภายใต้พระอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า
ชาติเราจักต้องมีเสรีภาพที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ และรัฐบาลของปวงชน โดยปวงชน
เพื่อปวงชน จักต้องไม่มีวันดับสูญไปจากพิภพนี้ ...
(สุนทรพจน์โดยประธานาธิบดีแอบราฮัมลินคอล์น สหรัฐอเมริกา 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2406 สมรภูมิเก็ตตี้สเบอร์ก
ในฐานะผู้นำกองทัพที่ประสบชัยชนะ)
สมัยนั้น สหรัฐฯฝ่ายใต้ทำเกษตรกรรมด้วยแรงงานทาส แล้วขายพืชผลให้ฝ่ายเหนือนำไปทำอุตสาหกรรมผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ฝ่ายใต้จึงมุ่งมั่นรักษาวิถีชีวิตเกษตรกรรมกับแรงงานทาสไว้
แต่ฝ่ายเหนือต้องการอยู่กับวิถีชีวิตอุตสาหกรรมและแรงงานชาวเมือง จึงให้เลิกทาส
และโดยที่ฝ่ายใต้ไม่ต้องการขึ้นกับรัฐบาลกลางที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเหนืออยู่แล้ว
ข้อขัดแย้งดังกล่าวก็วิวัฒนาการเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้ออยู่สี่ปี และคร่าชีวิตทหารหาญทั้งสองฝ่ายไปราวแปดแสนคน รวมทั้งประชาชนอีกราวห้าหมื่นคน
สงครามกลางเมืองในสหรัฐฯสมัยก่อนดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับศึกมวลมหาชนที่กำลังขับไล่ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ภายใต้บงการโดยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ
ชินวัตร ผู้ไม่ได้รับเลือกตั้งและกำลังหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินอยู่ต่างประเทศแล้ว จะเห็นได้ว่า ต่างมีสาเหตุสำคัญเดียวกันอยู่ที่ ”เศรษฐกิจการเงินของชาติ”
ปี 2548
ปวงชนในกรุงเทพมหานครและชนบทได้ร่วมกันขับไล่รัีฐบาลภายใต้อดีตนายกฯทักษิณ ด้วย “เป้าประสงค์” กำจัดการใช้อำนาจมิชอบและโกงกินชาติระดับมโหฬาร
จนทหารต้องออกมาทำการรัฐประหาร เพื่อควบคุมเหตุการณ์มิให้เลวร้ายลง
ต่อมาทหารได้รีบคืนอำนาจกลับไปให้กับปวงชน
ทว่า ในการคืนอำนาจ นั้น
ทหารกับผู้นำฝ่ายพลเรือน “มิได้ตระเตรียม” ปวงชนให้มีความพร้อมรับพันธกิจอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า
ซึ่งได้แก่ ”การปฏิรูปการปกครอง” หรือ “การปฏิรูปเหล้าเก่าในขวดเก่า” ให้เป็น “เหล้าใหม่ในขวดใหม่” เพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของการโกงกินขายชาติ ขับไล่ทรราช
และปฏิวัติรัฐประหาร
ซึ่งได้คร่าชีวิตวีรชนกับทหารหาญ และบั่นทอนอย่างบอบช้ำที่สุดติดต่อกันมาราว
8 ทศวรรษ โอกาสของชาติบ้านเมืองในการพัฒนาสู่ยุคแห่งความเจริญสุขอย่างยั่งยืน
“เหล้าเก่า” คือ “การขาดจริยธรรมทางการเมือง” กับ “ทัศนะคติที่ปวงชนไม่เป็นใหญ่” ส่วน “ขวดเก่า” คือ “ระบอบการปกครองที่เดินตามก้นผู้อื่น”
“เหล้าใหม่” คือ “การมีจริยธรรมทางการเมือง” กับ “ทัศนะคิตที่ปวงชนเป็นใหญ่” ส่วน “ขวดใหม่” คือ “ระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาติไทยที่สุด”
การมิได้ตระเตรียมคืนอำนาจกลับไปให้กับปวงชนดังกล่าว ก็ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
อย่างในศึกขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พลเอกสุจินดา
คราประยูร นายกฯสมัคร สุนทรเวช และนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ได้ระเบิดขึ้นด้วยด้วยเลือดเนื้อกับชีวิตของวีรชนกับทหารนับไม่ถ้วน “เหล้าเก่าในขวดเก่า”
จึงยังอยู่คู่บ้านคู่เมืองตราบเท่าทุกวันนี้อย่างน่าสลดใจยิ่ง
อัลเบิรตไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์อัจฉริยะ กล่าวไว้ว่า “การย้ำวิธีแก้ปัญหาเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วประสบความล้มเหลวมาตลอด คือการกระทำของคนสติเสีย การแก้ปัญหาให้ได้ผลดีจักต้องใช้วิธีการที่มาจากองค์ความรู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวปัญหา” ฉะนั้น เมื่อตัวปัญหาคือการโกงกินชาติโดยปุถุชน
วิธีการแก้ก็จักต้องมาจากองค์ความรู้ที่สูงกว่าของอริยชน คือ สัจธรรมจากพระบรมศาสดาโลกที่อยู่สูงกว่าปุถุชน
ต่อเมื่อ “เหล้าใหม่” กับ
“ขวดใหม่” มีอยู่พร้อม ปวงชนก็จะสามามารถ “เปลี่ยนผ่าน” “เหล้าเก่าในขวดเก่า” สู่ “เหล้าใหม่ในขวดใหม่”
ได้สำเร็จ
งานที่ยากยิ่งกว่าการขับไล่ทรราชได้แก่งานสร้าง “เหล้าใหม่” ให้เกิดขึ้น เพราะเป็นงานปรับเปลี่ยน “พฤติกรรมเก่า” หรือ “เหล้าเก่า” ของปวงชนบางส่วนให้สัมพันธ์กับ “พฤติกรรมใหม่” หรือ
“เหล้าใหม่” ของปวงชนอีกส่วนหนึ่ง
เพื่อให้มี “เหล้าใหม่” ตาม “เป้าประสงค์” ของการกำจัดวงจรอุบาทว์ดังกล่าว
ขอให้ระลึกถึงสุนทรพจน์อมตะของประธานาธิบดีลินคอลน์ที่กล่าวไว้ว่า “เราจักอุทิศตนอย่างยิ่งยวดต่อเป้าประสงค์ที่ทหารหาญของเราได้ยอมอุทิศชีวิตไว้”
จนกว่าเราจักสร้าง “เหล้าใหม่” ได้สำเร็จ เพื่อว่า "ชีวิตของทหารหาญของเราเหล่านี้จักมิต้องสูญเปล่าไปบนสมรภูมินี้”
จริงๆแล้ว ชาวไทยได้มี “พฤติกรรมใหม่” หรือ
“เหล้าใหม่” มาแต่สมัยสุโขทัย จนพิมพ์เขียวของ
“เหล้าใหม่” มีบันทึกอยู่ในรหัสพันธุกรรมของชาวไทยทั่วไป
เพราะแผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินธรรมมากว่า 7 ศตวรรษ
จวบจนวัฒนธรรมวัตถุเงินทองนิยมจากต่างชาติได้ค่อยๆกลืนกินวัฒนธรรมไทยเดิมจนเกือบหมดสิ้นตลอด
8 ทศวรรษที่ผ่านไป
ส่วน “ขวดใหม่” นั้น
ปวงชนจะต้องสร้างขึ้นมาเองด้วยการกำหนด “เข็มทิศที่ห้า” ของตน โดยทำการพิจารณาสอบดูว่า เสาหลักทั้งสี่ของชาติ คือ สังคม จิตวิณญาณสังคม
การเศรษฐกิจ และการทหาร ต่างมีโครงสร้างหน้าที่แบบใด มีพื้นฐานเป็นวัฒนธรรมแบบใด และมีผลต่อสังคมเศรษฐกิจอย่างไร
นับแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ผลสอบนี้จะเป็น “เข็มทิศที่ห้า” หรือ "อัตลักษณ์" อันเป็นเอกลักษณ์ของปวงชน บนแผนที่สี่ทิศที่จะนำปวงชนไปสู่ “ขวดใหม่” หรือ “ระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาติไทยที่สุด” โดยไม่เดินตามก้นชาติใดให้บ้านเมืองไทยล่มจมหายนะอีก
ปัญหาหลักคือปวงชนบางส่วนยึดติดมีความเคยชินกับ “เหล้าเก่า” แต่ก็แก้ไขได้ด้วยการมีรัฐนโยบายที่ส่งเสริมให้มีศรัทธาในพระบรมศาสดาของตน คือ ส่งเสริมให้นำคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาโลก ตามที่ตนศรัทธา มาประยุกต์อย่างถูกต้องและจริงจัง ส่วนปัญหารองคือปวงชนจักต้องรับรู้และทำความเข้าใจกับสาเหตุสำคัญของการมีทรราชกับการโกงกินขายชาติ โดยรัฐจักต้องเป็นผู้นำในการให้การศึกษาต่อปวงชน ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาโลก
นอกจากนี้ ปวงชนยังต้องมี “ยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านกับบำรุงรักษา” “เหล้าใหม่ในขวดใหม่”
อย่างรัดกุม โดยต้องมีปัจจัยเวลาและมาตรการรักษาความมั่นคงแห่งชาติอย่างสมจริง
ปวงชนจักต้อง “พร้อมใจกัน” “สร้างชาติ” ขึ้นมาใหม่ “ชาติเราจักต้องมีเสรีภาพที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่” เพื่อว่า “ชีวิตของทหารหาญของเราเหล่านี้จักมิต้องสูญเปล่าไปบนสมรภูมินี้” ดั่งคำเตือนในสุนทรพจน์อมตะดังกล่าว
ศึกที่ยากยิ่งและหนักหน่วงยิ่งกว่าศึกขับไล่รัฐบาลตระกูลชินวัตร
ที่กำนันสุเทพ เทพสุบรรณและมวลมหาชนได้ทำไว้ ได้แก่ศึก “สร้างชาติ” ที่ผู้มีความรับผิดชอบต่อลูกหลาน ยังจักต้อง “อุทิศตน” ทำอย่างหนักหน่วงต่อไป เพราะว่าปวงชนกับผู้นำฝ่ายพลเรือนจำนวนมากได้ถือกำเนิดและเจริญเติบโตมาในภาวะแวดล้อมที่ขับเคลื่อนด้วย “ค่านิยม” ที่บูชา "วัตถุเงินทองอำนาจ" ซึ่งได้ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจมาตลอด
“ค่านิยม” ดังกล่าวคืออะไร?
เชิญติดตามตอนต่อไปได้ที่นี่.
เหล้าใหม่ในขวดใหม่
วิบัติกับวิวัฒน์
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
การขับเคลื่อนในทิศทางต่างกันของพื้นผิวหินขนาดมหึมาสองแผ่นใต้ทะเล
ส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิที่ทำลายชีวิตทรัพย์สินทั้งปวงได้ ฉันใด
การขับเคลื่อนในทิศทางต่างกันของสองค่านิยมสำคัญในไทย
ก็ก่อให้เกิดคลื่นแห่งความหายนะใหญ่หลวงต่อแผ่นดินไทยได้ ฉันนั้น
ปวงชนชาวไทยประกอบด้วยชนสองกลุ่มตาม “สองค่านิยม” ดังนี้
กลุ่มแรก “นิยมครอบครองอำนาจอิทธิพลวัตถุเงินทองเพื่อตัวเอง” ประหนึ่งต้องการอากาศหายใจ โดยดำรงชีวิตอยู่กับ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ที่มีแต่ก่อปัญหากับความวิบัติทางจิตวิญญาณให้กับตนและผู้อื่น โดยนิยม:
ลาภยศสรรเสริญ/อวดมั่งอวดมี/ใช้จ่ายโอ้อวดเงินทอง/หรูหราฟุ่มเฟือย/จ่ายเงินเกินรับ/เห็นแก่ตัว/เอาแต่ได้/เอารัดเอาเปรียบ/รับแต่ชอบไม่รับผิด/ไม่รู้คุณคน/บงการคนด้วยบุญคุณ/ใช้สองมาตรฐาน/ใส่หน้ากากหลอกลวง/ใส่ร้ายป้ายสี/ชักใยบงการ/ยกตนข่มท่าน/ละเมิดสิทธิ์โดยชอบของผู้อื่น/เจ้ายศเจ้าอย่าง/เจ้าเล่ห์เพทุบาย/ทรยศหักหลัง/ดื้อดันดื้อด้านดื้อดึงดื้อแพ่ง/โต้แย้งเพื่อโต้แย้ง/เอาชนะบนความหายนะ/ใช้ความรุนแรง/ไม่ไยดีสวัสดิภาพผู้อื่น/อาฆาตพยาบาท/ลอบทำร้ายผู้อื่น/มุ่งหวังเกินเหตุ/พนันขันต่อ/ก้าวร้าวผู้อื่นที่เก่งกว่าตน/ไม่กล้าเผชิญกับความเป็นจริง/ทะเยอทะยาน/นับถือศาสนาด้วยปากกับมือ/พึ่งไสยศาสตร์/ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอิทธิพลกับวัตถุเงินทอง
รวมทั้งผลพวงที่เป็นความรู้สึกสนุกสนานบันเทิงเปรมปรีดิ์เกษมสันต์หรรษาพาเพลินทางผัสสะ
(ยกเว้นความสุขแท้จริง) อันเป็นยอดปรารถนาในวิถีชีวิตตามคติสุขารมณ์
อีกทั้งมีโลกทัศน์ดังนี้:
มองโลกในแง่ร้าย/ตนสำคัญที่สุด/ความจริงใจไม่สำคัญ/ด้านได้อายอด/ กติกามีไว้บิดเบี้ยวละเมิด/วิถีทางไม่สำคัญเท่าเป้าประสงค์/ความสมานฉันท์คือความอ่อนแอ/สนองแค้นด้วยแค้น/วัตถุเงินทองสำคัญที่สุด/ใครมีวัตถุเงินทองอำนาจอิทธิพลมากย่อมมีค่ามาก/เงินทองซื้อคนกับอุปสรรคได้/ไม่โกงไม่รวย/ยิ่งรวยยิ่งมีบารมีอำนาจอิทธิพล/คนจนน่ารังเกียจ/คนรวยต้องเก่งจึงรวย/ชีวิตคนสัตว์วัตถุบริการซื้อขายกันได้หมด/ไม่มีของฟรี/ศีลธรรมงามหรูแต่ไร้ราคา/มโนธรรมคือมโนภาพ/ประวัติศาสตร์ไร้ประโยชน์/ชะตาชีวิตถูกลิขิตมาแต่เกิดและเปลี่ยนไม่ได้/ค้ามนุษย์ค้ายาเสพติดได้โดยเสรี/ ฯลฯ กลุ่มนี้เปรียบได้กับ “บัวใต้น้ำ”
ขอเรียกกลุ่มแรกที่ยึดวัตถุเงินทองอำนาจเป็นยอดปรารถนาเพื่อตัวเอง ว่า “กลุ่มวัตถุเงินทองอำนาจนิยม (กลุ่มวอน.)” กลุ่มนี้คือ “เหล้าเก่า”
ส่วนกลุ่มหลังนิยม “แผ่เมตตาจิตให้ตนและผู้อื่นอย่างปราศจากเงื่อนไข” ด้วยการ “เป็นผู้มีจิตตื่นรู้” โดยดำรงชีวิตอยู่กับ “ลัทธิสัตว์ประเสริฐ” ที่มีแต่แก้ปัญหากับสร้างความวิวัฒน์ทางจิตวิญญาณให้กับตนและผู้อื่น
โดยนิยม:
รักสันโดษ/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง/บริหารเงินทองด้วยสติปัญญา/มัชฌิมาปฎิปทา/ศีลธรรมคุณธรรมมนุษยธรรม/ตอบสนองคุณธรรม/เห็นแก่ส่วนรวม/รับทั้งผิดและชอบ/ให้อย่างปราศจากเงื่อนไข/ใช้มาตรฐานเดียว/ความซื่อสัตย์/ถ่อมตนเจียมเนื้อเจียมตัว/นับถือในศักดิ์กับสิทธิ์โดยชอบธรรมของผู้อื่น/สามัคคีธรรม/แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี/อยู่กับปัจจุบันกาลเป็นเกณฑ์/ความเป็นกัลยาณมิตร/หวังผลอย่างสมจริง/พรหมวิหารสี่/เผชิญกับความเป็นจริง/นับถือศาสนาด้วยปากมือและใจ/พึ่งตนเอง/ปฏิเสธไสยศาสตร์/ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ไ้ด้มาซึ่งการดำรงชีพอย่างมีความหมายและผลพวงของความสุขที่อิ่มเอิบใจแท้จริง
อันเป็นยอดปรารถนาในวิถีชีวิตตามคติจิตตภาวนา
อีกทั้งมีโลกทัศน์ดังนี้:
มองโลกด้วยจิตศรัทธาในส่วนดีงาม/ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งจิตเดียวกัน/กัลยาณมิตรคือมิตรแท้/กติกามีไว้ปฏิบัติ/วิถีทางจักต้องชอบด้วยศีลธรรมจริยธรรมกฎหมาย/สนองความแค้นด้วยสัจธรรม/วัตถุเงินทองอำนาจอิทธิพลไม่สำคัญที่สุด/คุณค่าของคนอยู่ที่ทำบุญสร้างกุศลตามอัตภาพไร้อัตตา/ไม่โกงก็รวยได้/ระบบทาสหมดสมัยแล้ว/ให้อย่างไร้เงื่อนไขคือให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด/ศีลธรรมมโนธรรมคือเครื่องค้ำจุนโลก/ยึดติดวัตถุเงินทองอำนาจอิทธิพลย่อมทำลายตัวเอง/ตนคือผู้ลิขิตชะตาชีวิตตน/ ฯลฯ กลุ่มนี้เปรียบได้กับ “บัวเหนือน้ำ”
ขอเรียก “กลุ่มหลังที่หมั่นฝึกฝนจิตตนให้เป็นจิตตื่นรู้” ว่า “กลุ่มจิตนิยม (กลุ่มจน.)” กลุ่มนี้คือ “เหล้าใหม่”
พฤติกรรมดังกล่าวในแต่ละกลุ่ม
คือภาพวาดแสดงโครงร่างของหน้าตาเรือนร่างของกลุ่ม
ผู้ใดที่คิดพูดทำตามแบบฉบับของกลุ่มหนึ่งใด (เช่น กลุ่มวอน.)
อย่าง “สม่ำเสมอกว่าและบ่อยกว่า” ตามแบบฉบับของกลุ่มอื่น (เช่น กลุ่มจน.) ผู้นั้นย่อมมีโครงร่างของหน้าตาเรือนร่างหรือ “ค่านิยม”
ที่ “โน้มเอียง” ไปทางกลุ่มหนึ่งใดนั้น
(กลุ่มวอน.) มากกว่าอีกกลุ่ม
(กลุ่มจน.) ดังคำพังเพยที่ว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า
กาลเวลาพิสูจน์คน”
ภาพวาดดังกล่าวเปรียบได้กับกระจกเงาสำหรับ "ส่องดูตัวเอง" หากประสงค์ที่จะทำ “มิใช่ส่องดูผู้อื่น”
เพราะตนย่อมรู้จักตัวเองได้ครบถ้วนดีกว่ารู้จักผู้อื่น เมื่อมองเห็นภาพวาดของตัวเองแล้ว ก็จะเข้าใจรูปแบบชีวิตของตนได้ดีขึ้นว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร
ในภาพรวม กลุ่มวอน.(เหล้าเก่า)
มุ่งมั่นใฝ่หาสิ่งนอกกายที่ตนโปรดปราน โดยจะเป็นทุุกข์มากหากไม่สมหวัง
ส่วนกลุ่มจน.(เหล้าใหม่) ไม่มุ่งมั่้นรุนแรงเท่ากลุ่มวอน. แต่มุ่งหมายดำรงชีพด้วยความพอดีตามศานาตน คือ ทำตนเสมือนเครื่องดนตรีที่ได้รับการปรับเสียงสูงต่ำได้พอดี
บรรเลงเพลงได้ตามที่ผู้แต่งได้แต่งไว้ อีกทั้งไม่ยึดติดแม้กระทั่งนิพพาน
โดยที่ทั้งสองกลุ่มมีรสนิยมต่างกันแบบฟ้ากับดิน ผู้คนในกลุ่มเดียวกัน ย่อมคบหาสมาคมใกล้ชิดกันด้วยจิตอาสาเชิงอรูปนัยได้อย่างราบรื่นและยาวนาน
ในทำนอง “กาอยู่ส่วนกา
หงส์อยู่ส่วนหงส์”
ในชีวิตประจำวัน กลุ่มวอน. โดยเฉพาะนักการเมือง ซึ่งโกงกินขายชาติด้วยชีวิตจิตใจ
มักมี “ความวิตกกังวลอยู่ในใจลึกๆ” ว่า สิ่งนอกกายทั้งหลายที่ตนใฝ่หาสุดชีวิตอย่างผิดศีลธรรม จริยธรรม
ตลอดจนกฎหมายบ้านเมือง จนมีล้นฟ้าท้ามหาสมุทร นั้น อาจหลุดลอยไปจากมือ
ไม่ช้าก็เร็ว และมี ”ความรู้สึกซึมเศร้า” ที่ตนไม่สามารถนำสิ่งนอกกายเหล่านี้ติดตัวไปด้วยเมื่อถึงวาระที่ต้องจากโลกนี้ไป
ทั้งนี้ ก่อให้เกิดภาวะจิตเวชผิด "กฎแห่งธรรมชาติ" ที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้
ชีวิตของกลุ่มวอน.(เหล้าเก่า)ไม่มีอะไรที่น่าอิจฉาริษยาเลย
“รูปร่างหน้าตาทั้งหมด”
ของแต่ละกลุ่มได้แก่อะไร?
“พลังชีวิต”
คืออะไร? สำคัญอย่างไร? มี/ไม่มีในกลุ่มใด?
เชิญติดตามตอนต่อไปได้ที่นี่้
เหล่าใหม่ในขวดใหม่
ไม้ลำเดียวยังต่างปล้อง
พี่และน้องยังต่างใจ
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
เมื่อสนทนากันเรื่องการเมือง
ชาวไทยจะแตกแยกออกเป็น กลุ่มเข้าข้างอดีตนายรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
และกลุ่มไม่เข้าข้าง แต่ละกลุ่มต่างมี “ค่านิยม” ที่บ่งบอกถึง “เอกลักษณ์” หรือ
“รูปร่างหน้าตา” ของตน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะปกป้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต
เพื่ออนุรักษ์ชีวิตจิตใจของตนไว้
กลุ่มวัตถุเงินทองอำนาจนิยม (กลุ่มวอน.) (เหล้าเก่า) เชื่อว่าสรรพสิ่งนอกกายในกำมือ เมื่อรวมกันแล้ว คือ “รูปร่างหน้าตา” ตน ฉะนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้มีอันต้องหลุดลอยไป
ชีวิตทั้งหมดของตนก็ล่มสลายหมดสิ้นความหมายไปด้วย
นักเล่นหุ้นไทยรายหนึ่งมีอันต้องประสบกับการขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัวจากความปั่นป่วนในตลาดหุ้น “รูปร่างหน้าตา”
ของเขาก็มีอันต้องล่มสลายหมดสิ้นไปด้วย เหลืออยู่แต่ความทุกข์สาหัสากรรจ์สุดบรรยายสุดทน ในที่สุด เขาก็ใช้ปืนยิงตัวเอง แต่ยังไม่ถึงฆาต เพราะได้รับการนำส่งโรงพยาบาลได้ทันที
อดีตนายกฯทักษิณ (กลุ่มวอน.เหล้าเก่า) มักเปิดเผย “รูปร่างหน้าตา” ของเขาอย่างภาคภูมิใจว่า ตนมีทรัพย์สินนับแสนๆล้านบาท และย้ำเสมอว่าเป็นเงินสุจริตชอบด้วยศีลธรรมและกฎหมาย โดยอาจไม่ทราบว่าประชาคมโลก
ประณามทรัพย์สินมหึมาที่งอกเงยขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้น ปานฟ้าแลบ เทพบันดาล และหลายประเทศได้แสดงความยินดีที่จะให้ความร่วมมือยึดขุมทรัพย์ทุจริตกลับคืนสู่คลังของประเทศเดิม ซึ่งมักขาดแคลนงบประมาณ เพื่อใช้ในการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป ฉะนั้น
“รูปร่างหน้าตา” ของเขาอาจอยู่กับเขาไปได้ไม่ตลอด
ส่วนกลุ่มจน. (เหล้าใหม่) เชื่อว่าสรรพสิ่งนอกกายย่อมหลุดหายดับสูญไปได้
แต่ไม่มีใครสามารถถอดถอน “รูปร่างหน้าตา” ตน อันกอปรด้วยศีลธรรม จริยธรรม ตลอดจนคุณธรรม
ซึ่งมีคุณค่าและประโยชน์สูงส่งกว่าสรรพสิ่งนอกกาย
ออกไปจากจิตใจตนได้ ชีวิตตนไม่ล่มสลาย ไม่ไร้ความหมาย ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่
ธรรมชาติยังได้สร้าง
“พลังภายใน” ไว้กับมนุษย์ เพื่อให้ทุกคนมีศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง
ตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ จะได้มีความชื่นชอบยกย่องนับถือมั่้นใจในศักยภาพของตน
และมีความต้องการพึ่งตนเอง “กฎแห่งจิต”
ข้อนี้คือ “กฎแห่งธรรมชาติ” เพื่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ ผู้คนจะได้ไม่ตกเป็นทาสเสพติด
“พลังภายนอก” ซึ่งได้แก่อำนาจเงินทองและวัตถุที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาจากการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่างบ้าคลั่้งไร้สติ
วิศวกรคนหนี่งในสหรัฐฯ ละทิ้งอาชีพวิศวกรรมไปนั่งเขียนนวนิยายอยู่กับบ้าน ผลงานขายดิบขายดี
จนมีชื่อเสียงโด่งดังและมีรายได้ไม่น้อยกว่าอาชีพเดิม ซึ่งตนรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่ไม่สามารถมีส่วนทำงานชิ้นหนึ่งใดตั้งแต่ต้นจนสำเร็จตามแบบพิมพ์เขียว เพราะถูกผู้ว่าจ้างส่งไปดูแลงานในเฉพาะช่วงหนึ่งๆของงานชิ้นอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ แต่ในการเขียนนวนิยาย นั้น เขามีโอกาสสร้างสรรค์งานเขียนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวเองล้วนๆ “พลังภายใน” จึงได้ทำหน้าที่อำนวยผลดีดังกล่าว และกลายเป็นพลังเสริมที่ทำให้การแต่งนวนิยายเรื่องต่อๆไป
ดำเนินไปด้วยความเพลิดเพลินราบรื่นและสำเร็จอย่างดงาม
วันหนึ่ง กลุ่มวอน.ที่โกงกินจนร่ำรวยยิ่ง
จะรู้สึกลึกๆว่า ตน “ยากจนยิ่ง” ใน ”พลังภายใน” เพราะคอยพึ่งพาผู้อื่นกับสรรพสิ่งนอกกายอย่างเงินทองอำนาจ คือ
"พลังภายนอก" ในการโกงกินผู้อื่นและแผ่นดิน จนรู้สึกว่าขาด “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ” ที่เป็น "พลังภายใน" อยู่ข้างใน
ยิ่งกว่านั้น กลุ่มวอน.จะรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาวันหนึ่งว่า วัตถุเงินทองอำนาจ หรือ “รูปร่างหน้าตา” ของตน อาจต้องล่มสลายไป ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งนี้ ก่อให้เกิดความว้าเหว่ใจ ความรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมาย ขาดความมั่นคง ตลอดจนหมดอาลัยตายอยาก
สุดวิสัยเยียวยาแม้โดยแพทยศาสตร์ล้ำยุคหรือด้วยเงินทองที่ใช้อีกนับร้อยชาติก็ไม่หมด
นอกจากจะเปลี่ยน “ค่านิยม” ตน เยี่ยงองคุลิมาลโจรผู้กลายเป็นพระองคุลิมาลเถระในที่สุด
นี่คือชีวิตที่น่าสลดใจของกลุ่มวอน.ที่ใช้เงินทองทุจริตห่อหุ้มความทุกข์สาหัสากรรจ์ตนไว้ ในทำนอง “เปลือกใส ใส้เน่า”
ตรงกันข้าม ในชีวิตประจำวันของกลุ่มจน. แม้มิได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็สามารถดำรงชีพอยู่ในมรรคมีองค์แปด อยู่กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ทำบุญสร้างกุศลและแผ่เมตตาจิตอย่างไร้อัตตา ตามอัตภาพ มีความสงบสุข จิตใจเบิกบาน มีจิตตื่นรู้ ไม่เป็นทาสของวัตถุเงินทองอำนาจอิทธิพล ไม่วิตกกังวลในความอนิจจังของสรรพสิ่งทั้งปวง และมีพลังที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับส่วนรวม
เห็นได้ว่า แม้ว่ากลุ่มจน.จะไม่มีสรรพสิ่งนอกกายล้นฟ้าท้ามหาสมุทร แต่กลับ “ร่ำรวยยิ่ง”
ใน ”พลังภายใน”
ไม่จมปลักอยู่กับกองทุกข์ เมื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็ทำด้วยจิตที่ตื่นรู้และเบิกบาน
ส่งผลให้เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น ชีวิตมีความหมายอย่างแท้จริง
ในภาพรวม
กลุ่มวอน.ยินยอมให้สรรพสิ่งนอกกายลิขิตชีวิตตนสู่การโกงกินขายชาติ ตลอดจนแสดงความอกตัญญูต่อบิดามารดาและแผ่นดิน
แต่่กลุ่มจน.ไม่ยินยอมให้สรรพสิ่งนอกกายหรือกลุ่มวอน.มาลิขิตชีวิตตนสู่การโกงกินขายชาติ โดยมุ่งหมายคัดค้านต่อสู้กับกลุ่มวอน.อย่างสันติวิธี
ด้วยเจตนารมณ์แน่วแน่และความห้าวหาญยิ่ง เพราะไม่ยึดติดพึ่งพาปัจจัยนอกกายอย่างกลุ่มวอน. เพื่อจะได้รักษาและอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยพร้อมกับบุตรหลานอย่างอิสระเสรีสืบไป
อนึ่ง
เมื่อขาด "พลังภายใน" กลุ่มวอน. คือคนที่ “ตายทั้งเป็น” ปราศจากสติปัญญา และอยู่บนเส้นทางของ “ความตาย”
ตรงกันข้าม กลุ่มจน. ซึ่งไม่ขาดพลังดังกล่าว
คือคนที่ “มีชีวิตชีวา” มีสติปัญญา และอยู่บนเส้นทางของ “ความเป็น” อีกทั้งยังมีพลังสำคัญอย่างหนึ่งที่กลุ่มวอน.ไม่มี
นั่นคือ “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
การขัดแย้งกันระหว่างสองกลุ่มค่านิยมนี้ อาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง โดยขึ้นอยู่กับ “พลังพิฆาต” ซึ่งได้แก่วัตถุเงินทองอำนาจอิทธิพลที่อยู่ในมือของกลุ่มวอน.
ในกรณีที่มีอยู่ในระดับสูงล้นฟ้าท้ามหาสมุทร กลุ่มวอน.อาจไม่รีรอที่จะใช้พลังอันทรงอานุภาพนี้ทำการเผด็จศึกกลุ่มจน. เพื่อกำจัดอุปสรรคขวากหนามให้สิ้นซากอย่างเด็ดขาดเสียที
อย่าลืมว่า เมื่อจอมเผด็จการฮิตเลอร์หลงทนงตัวในกำลังพลกับอำนาจอาวุธยุโธปกรณ์อันเกรียงไกรและทรง
“พลังพิฆาต” ยิ่งในกำมือตน ก็ตัดสินใจด้วยอารมณ์ยกทัพเข้ายึดครองประเทศต่างๆอย่างเมามัน แต่ต้องพบจุดจบตัวเองด้วยอัตวินิบาตกรรม
หลังจากที่ถูกกองทัพสัมพันธมิตรเผด็จศึกในที่สุด
เมื่อ “พลังพิฆาต”
ของกลุ่มวอน.พบกับ “พลังภายใน”
และ “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ของกลุ่มจน. "สงครามกลางเมือง" จะมีความน่าเป็นไปได้สูงที่จะระเบิดขึ้น ประหนึ่งคลื่นสึนามิดังอุปมาข้างต้น ซึ่งจะม้วนตัวพุ่งเข้าทลายเมืองหลวง อย่างยากที่ใีครจะหยุดยั้งได้
ความตายสำหรับกลุ่มวอน.คือทางออกแบบ "สุนัขจนตรอก" ที่เลิศกว่าความเป็นของตนที่ตั้งอยู่บนความทุกข์สาหัสสากรรจ์ดังกล่าว ท่ามกลางทรัพย์สินนับหลายแสนล้านบาทที่ประจานตัวเจ้าของอยู่ทุกวัน ส่วนความตายของกลุ่มจน.คือการเสียสละให้อนุชนรุ่นต่อไปให้ได้มีชีวิตที่เป็นอิสระจากวัตถุเงินทองอำนาจที่กลุ่มวอน.โกงกินขายชาติมา เพื่อปวงชนจะได้ดำรงชีพอยู่กับศีลธรรมคำสั่้งสอนของพระบรมศาสดาโลก ที่สอนมนุษย์ให้มีเมตตาจิตแท้จริงต่อกัน และไม่สอนให้เบียดเบียนผู้อื่นหรือโกงกินขายชาติ
การโกงกินขายชาติได้ทำลายประเทศใดจนเกือบล่มจมหายนะเป็นรายล่าสุด?
ความทรงจำที่เกาะติดอยู่ในเนื้อเซล์ลคืออะไร?
โปรดติดตามตอนต่อไปได้ที่นี่
เหล้าใหม่ในขวดใหม่
ศัตรูของปวงชน
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
ก่อนการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม
(ราวพ.ศ.2303) มนุษย์ดำรงชีพอยู่กับเกษตรกรรมเป็นหลัก กลุ่มจิตนิยม (กลุ่มจน.) (เหล้าใหม่) เป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ในสังคม ส่วนกลุ่มวัตถุเงินทองอำนาจนิยม (กลุ่มวอน.) (เหล้าเก่า) ยังไม่เติบใหญ่อย่างทุกวันนี้
หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปริมาณสินค้าบริการได้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน กลุ่มวอน.ก็เติบใหญ่เป็นเงาตามตัว โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก “กระแสสังคม” ที่แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆด้วยอำนาจอิทธิพลจาก
“ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ซึ่งนิยมวัตถุเงินทอง และสอบวัดคุณค่าของมนุษย์ด้วยสรรพสิ่งนอกกายในครอบครอง ปัจจุบัน พอจะประเมินได้ว่า ใน 5 คน มี 4
คนอยู่ในกลุ่มวอน. เพียง 1 คนอยู่ในกลุ่มจน.
น่าเสียดายที่รัฐบาลไทยในหลายยุคสมัยก่อนเป็นผู้ก่อให้เกิด
“กระแสสังคม” ดังกล่าวเสียเอง เพราะได้มุ่งส่งเสริมทุนนิยมต่างชาติให้มาไทยลงทุนทำการอุตสาหกรรม ซึ่งก็ช่วยหล่อเลี้ยงค่านิยมของกลุ่มวอน.โดยปริยาย และทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศวิทยาอย่างยากที่จะกู้คืนมา ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเหล่านั้น ก็ละเลยการพัฒนาทางเกษตรกรรม ซึ่งสนับสนุนค่านิยมของกลุ่มจน. ด้วยการให้ปวงชนได้อยู่กับธรรมชาติ เสริมสร้างผลผลิตเกษตร อำนวยให้ปวงชนอยู่ดีกินดี สามารถขายผลผลิตส่วนเกินในตลาดโลก ส่งผลให้เกิดความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
จริงๆแล้ว แผ่นดินไทยมีดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตพืชผลทางเกษตรได้ตลอดปี จึงมีศักยภาพสูงในการช่วยยกเกษตรกรรมไทยให้เป็น
“สวนครัวโลก” ซึ่งสามารถเสริมสร้างเศรษฐกิจได้อย่างมีผลดียิ่ง
นอกจากนี้ กลุ่มวอน.ยังได้รับแรงสนับสนุนจากเทคโนโลยียุคโลกาภิวัฒน์
ซึ่งสามารถผลิตสินค้าเสนอบริการอัศจรรย์ดั่งเทพเนรมิตร
ในลักษณะยั่วยวนกิเลสตัณหาอย่างสุดทน
จนกลายเป็น “ยาเสพย์ติดขนานใหม่” ที่ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างกว้างขวาง
เมื่อนักการเมืองกลุ่มวอน.นำ
“ยาเสพย์ติดขนานใหม่” ่นี้ มาผสมผสานกับ “เงินทอง” ก็ได้ “ยาพิษ” ที่ทำลาย “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ในตัวผู้รับยาพิษ
อย่างที่ประจักษ์ชัดในกรณีใช้ "สัตว์เศรษฐกิจ" ถล่มยิงระเบิดร้ายแรงใส่มวลมหาชนที่ใช้วิธีวิธีสันติอหิงสาขับไล่ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ภายใต้นายกรัฐมนตรีน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ส่งผลให้ปวงชนตายไป 28 คน บาดเจ็บ 837 คน อย่างน่าสลดใจยิ่ง
ทุกครั้งที่ผ่านการเลือกตั้งท่ามกลางเสียงระเบิด และกระสุนปืนดังกึกก้องอยู่เบื้องหลัง
กลุ่มวอน.ก็สามารถก่อตั้ง ”รัฐบาลหุ่นเชิด” ที่เชิดโดยอดีตนายกฯทักษิณ
ผู้ไม่ได้ลงสมัครแข่งขันรับเลือกตั้ง แล้วโปรย “ยาพิษ” กว้านซื้อ ”ศักดิ์ศรีมนุษย์” จากข้าราชการทุกหมู่เหล่า เป็นเข่งๆ ราวกับผักปลา
เพื่อยึดครองช่องทางอำนาจที่เอื้ออำนวยต่อการโกงกินขายชาติต่อไป
นอกจากนี้ กลุ่มวอน.ยังมอมเมาปวงชนด้วย
“ยาพิษ” นี้ เพื่อให้มีพรรคพวกมากขึ้น
และชักนำ “พุทธพาณิชย์” เข้าสู่วัดพุทธอย่างแยบยล เพื่อบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา
ซึ่งมีศักยภาพสูงในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและการปกครองอย่างยั่งยืน และเป็นอุปสรรคขวากหนามสำคัญของกลุ่มวอน. เพราะพุทธมีคำสอนที่สวนทางกับมายาคติในวัตถุเงินทองของกลุ่มวอน.
ที่ร้ายกาจยิ่งคือ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ทำตนเป็น “ศัตรูของปวงชน” ดังกรณีโครงการรับจำนำข้าวชาวนาผู้ยากจน ซึ่งมุ่งเดินหน้าโดยมิสนใจในคำเตือนซ้ำของผู้หวังดี ผลก็คือ รัฐบาลไม่สามารถจ่ายเงินจำนำคืนชาวนาหลายแสนล้านบาทตามสัญญา ชาวนา 16 รายต้องฆ่าตัวตายเพราะตกอยู่ในสภาพล้มละลาย และกรณียิงระเบิดใส่บ้านของข้าราชการตุลาการผู้วินิจฉัย ผู้ทำหน้าที่แทนปวงชน
อดีตประธานาธิบดีลินดอนบีจอห์นสัน
สหรัฐฯ ประกาศไว้ว่า “รัฐบาลจักต้องเป็นรัฐบาลของปวงชน
ไม่ใช่ศัตรูของปวงชน”
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งคือ
“รัฐบาลหุ่นเชิด”
และสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากกลุ่มวอน. ทำตนเสมือน “คนเมาวัตถุเงินทองอำนาจ” ที่ขับเคลื่อนชาติไทย ในทำนองเดียวกับ “คนเมาสุรา” ที่ขับเคลื่อนยานพาหนะ สู่ความหายนะล่มจมอย่างหยุดยั้งมิได้
เมื่อ 12 มีนาคม 2557
คณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศแห่งวุฒิสภา รัฐสภา สหรัฐฯ
ได้ออกกฎหมายด้วยคะแนนเสียง 14 ต่อ 3 อนุมัติความช่วยเหลือกอบกู้ความหายนะล่มจมของประเทศยูเครนอย่างฉุกเฉิน และกำหนดบทลงโทษผู้โกงกินชาติยูเครนอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปก็ได้อนุมัติโครงการช่วยเหลือทำนองเดียวกัน
และกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็ต้องให้การช่วยเหลือโดยด่วนที่สุด เพราะเงินคลังของยูเครนได้หดหายจนไม่พอที่จะ
บริหารประเทศต่อไป
อาชญากรทางการเมืองทั้งหลายที่โกงกินขายชาติพึงสำนึกไว้ว่า เงินที่ขโมยปวงชนไว้จะถูกยึดกลับคืนคลังไทยในที่สุด
ประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ต่างประณามการโกงกินชาติและสนับสนุนการยึดเงินทุจริตกลับคืนไปใช้ในการพัฒนาประเทศเดิม
เพื่อความเจริญสุขของปวงชนผู้เป็นเจ้าของเงินโดยชอบ
อย่างไรก็ตาม
ความบ้าคลั่งในวัตถุเงินทองอำนาจคือ “ดาบสองคม” ที่พิฆาตกลุ่มจน.และบ่อนทำลายกลุ่มวอน.ให้ “แตกแยกกัน” ได้ด้วย ไม่ช้าก็เร็ว เพราะความบ้าคลั่งดังกล่าว ทำให้คนในกลุ่มวอน.แข่งขันกันร่ำรวยและเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีแต่อิจฉาริษยาต่อกัน
ลอบกลั่นแกล้งกัน เพื่อให้ "อัตตา" ตนที่ตนหลงใหลยิ่ง ได้ร่ำรวยที่สุด เป็นใหญ่ที่สุด และมีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดิน
ประวัติศาสตร์โลกได้บันทึกไว้ดาษดื่นเกี่ยวกับการแตกแยกของรัฐๆหนึ่งออกเป็นก๊กเป็นเหล่า
หลังเกิดการช่วงชิงความเป็นใหญ่ ก๊กเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำลายซึ่งกันและกันในที่สุด
นอกจากนี้
ความบ้าคลั่งดังกล่าวแล้ว กลุ่มวอน.ก็ไม่รู้จักคำว่า “ไว้ใจใคร” ด้วยเกรงว่าสรรพสิ่งนอกกายที่โกงหรือปล้นมา จะถูก "หักหลัง" ให้หลุดลอยจากมือตนไป ก่อให้เกิดภาวะ “ผวาจิต”
ที่มองคนอื่่นเป็นศัตรูหมด หวาดผวาว่าคนที่ขายศักดิ์ศรีให้ตนหรือเป็นบ่าวทาสตน
กำลังแอบเป็นไส้ศึกให้ฝ่ายตรงข้าม จึงมักหาทางออกง่ายๆ คือ
ชิงกำจัดศัตรูก่อนที่ศัตรูจะกำจัดตน
จักรพรรดิหรือเจ้าครองแผ่นดินองค์ใหม่ ซึ่งสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ภายหลังจากที่ได้ร่วมกันยึดอำนาจปกครองจากจักรพรรดิองค์ก่อน
ก็มีบันทึกไว้ไม่น้อยในประวัติศาสตร์โลก
ข้อสำคัญ เจ้าของความบ้าคลั่งดังกล่าว ก็มี ”ความรู้สึก”
อยู่ในจิตใต้สำนึกว่า ตนร่ำรวยได้เพราะมี
“เจตนา” กระทำผิดหรือละเลยไม่กระทำให้ถูกต้อง คือ
ตนได้ล่วงละเมิด ”ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ที่ธรรมชาติได้สร้างไว้กับตนมาแต่กำเนิด
“ความรู้สึก” นี้ มีชีวิตชีวาอยู่ในเรือนร่างมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่
โดยมีลักษณะเป็น “ความทรงจำที่เกาะติดอยู่ในเนื้อเซล์ล”
ซึ่งมีพลังงานส่งคลื่นความถี่เชิงลบออกมา้้ตลอดเวลา บ่งบอกถึงอารมณ์เชิงลบ คือ กลัว โกรธ โศรกซึม
เศร้าสลด วิตกกังวล แค้นเคือง ขมขื่น ต่ำต้อย ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นดอกผลของความรู้สำนึกผิดต่างๆที่สะสมหมกหมักอยู่ในจิตใต้สำนึกติดต่อกันมานาน
สมาคมแพทย์แผนโฮมีโอพาธีย์
สหรัฐฯ เตือนไว้ว่า “คลื่นความถี่เชิงลบนี้
บ่อนทำลายภูมิต้านทานในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยและการเป็นเหยื่อโรคมะเร็งคุกคามชีวิตได้โดยมิรู้ตัว”
เห็นได้ว่า
นักการเมืองกลุ่มวอน.ที่กระสันต์ในวัตถุเงินทองอำนาจอย่างบ้าคลั่ง
โดยร่วมกันโกงกินชาติอย่างเมามัน ย่อมหนีไม่พ้น “กฏแห่งกรรม”
อย่างแน่นอน
“ความรู้สำนึกในศีลธรรม”
เกิดมาพร้อมกับมนุษย์ จริงหรือไม่?
“ข้าวนอกนา” คืออะไร?
ท่านซุนซื่อคือใคร?
สอนไว้อย่างไร?
ท่านเนลสันเมนเดลลาคือใคร?
ให้ข้อคิดไว้อย่างไร?
เชิญติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่นี่้
เหล้าใหม่ในขวดใหม่
อธรรมกับธรรม
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
แม้ว่ากล่มวัตถุเงินทองอำนาจนิยม
(กลุ่มวอน.) (เหล้าเก่า) อาจใช้ “ยาพิษ” ซื้อหาปัจจัยต่างๆได้
แต่ไม่สามารถซื้อ “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ที่ธรรมชาติได้บันทึกไว้ในรหัสพันธุกรรมได้ เพราะเป็นคุณธรรมที่ธรรมชาติได้สร้างไว้ เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่สูญพันธุ์ไป
“ความรู้สำนึกในศีลธรรม” นี้ ได้ผ่านการศึกษาวิจัยกับทารกวัย 5 เดือนมาแล้ว ดร.พอล บลูม
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัียเยล สหรัฐฯ
จัดแสดงละครหุ่นเชิดสามตัวให้ทารกดูโดยลำพัง ประกอบด้วยแมวตัวหนึ่งเล่นลูกบอล์ลอยู่กลางฉากกับกระต่ายอีกสองตัว ตัวหนึ่งอยู่ห่างไปทางซ้ายและอีกตัวอยู่ทางขวาของแมว โดยตัวหนึ่งคอยช่วยเก็บบอล์ลให้แมวเมื่อแมวทำบอล์ลหลุดกลิ้งออกไป
ส่วนอีกตัวหนึ่งคอยรับบอล์ลที่แมวส่งไปให้
แล้วอุ้มออกไปจากฉาก
ต่อมา นักจิตวิทยายื่นหุ่นกระต่ายทั้งสองตัวดังกล่าวให้ทารกเลือกรับตัวหนึ่งกลับบ้านไป ปรากฏว่า
ทารกส่วนใหญ่ยื่นมือเลือกหุ่นตัวที่ช่วยเก็บบอล์ลให้แมว และไม่ไยดีต่อหุ่นที่รับบอล์ลแล้วอุ้มออกไป
นอกจากนี้ นักจิตวิทยาได้ทำการวิจัยกับทารกวัย
21 เดือนด้วย โดยให้เลือกหยิบขนมออกจากจานที่วางอยู่หน้าหุ่นกระต่ายที่ช่วยเก็บบอล์ลให้แมว หรือจากจานหน้าหุ่นที่รับบอล์ลแล้วอุ้มออกหายไปจากฉาก ปรากฏว่า ส่วนใหญ่เลือกหยิบขนมจากหุ่นที่อุ้มบอล์ลออกไป ทำให้อดกินขนม บ้างก็กำมือทุบหุ่นตัวนี้แถมให้อีกด้วย ทั้งนี้ เป็นปฏิกิริยาเชิงลบต่อหุ่นที่ไม่ส่งบอล์ลกลับไป
ให้หุ่นแมว เช่นเดียวกับทารกวัย 5 เดือนดังกล่าว
นักจิตวิทยาสรุปว่า ปฏิกิริยาชอบใจ/ไม่ชอบใจ
ต่อหุ่นกระต่ายจากทารกสองว้ยนี้ น่าจะมาจาก “บางสิ่ง” ที่ทารกมีติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งกลุ่มผู้วิจัยตีความว่า
น่าจะเป็น “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” เพราะทารกยังอ่อนวัยเกินไปที่จะเรียนรู้เข้าใจและอธิบายนามธรรม โดยเฉพาะคำที่จับความได้ยากอย่าง
“ศีลธรรม”
อย่างไรก็ตาม “บางสิ่ง” นี้แปรเปลี่ยนหดหายไปได้จากการอบรมปลูกฝังด้วย “ค่านิยม” ในวัตถุเงินทองอำนาจ
ยังผลให้ “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ที่มีอยู่เดิมต้องอ่อนแอลง ด้วยเหตุนี้
บางคนจึงกลับมองเห็น “กงจักรเป็นดอกบัว” แต่บางคนก็ยังมองเห็น “ดอกบัวเป็นดอกบัว” ตาม “ความรู้สำนึกในศีลธรรม”
ที่ยังมีอยู่
ท่านปรมาจารย์เล่าจื๊อ ผู้มีจิตตื่นรู้และคำสอนที่คู่ขนานกับพระธรรมของพระพุทธเจ้า เปรียบเปรยผู้มี “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ที่อ่อนแอลงนี้ เสมือนต้นข้าวที่เติบโตอยู่นอกผืนนา เป็น
“ข้าวนอกนา” ที่มีรวงข้าวไม่ดีและไม่อำนวยประโยชน์ต่อผู้คนได้มากเท่า “ข้าวในนา” ส่วนดร.อิริค
ฟรอม์ม นักจิตวิเคราะห์โด่งดังระดับโลก ผู้เคยบวชเรียนในพระพุทธศาสนา
มองว่า บุคคลดังกล่าว เปรียบได้กับ “คนมีภาวะจิตที่ไม่สามารถเสริมสร้างคุณประโยชน์ต่อตนและส่วนรวม” เสมือนคนบกพร่องพิการทางจิต
กระนั้นก็ตาม “ข้าวนอกนา” นี้ ก็ยังเยียวยารักษาตนเองให้เป็น
“ข้าวในนา” ได้ โดยต้องมี “ความแกล้วกล้ายอมรับความเป็นจริง” ก่อนว่า ตนมัวเมาใน
“วัตถุเงินทองอำนาจ” จริง และไม่สามารถทำคุณประโยชน์แท้จริงต่อตนหรือส่วนรวม แล้วลงมือ “ปฏิบัติ” ตาม “ค่านิยม” ในกลุ่มจิตนิยม
(กลุ่มจน.) (เหล้าใหม่) เช่น ฝึกฝนตนให้เป็นผู้สามารถทำคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นได้โดยปราศจากเงื่อนไข แบบที่ชาวพุทธนิยมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ตอนเช้าตรู่ เป็นต้น
อดีตประธานาิธิบดีเนลสัน
เมนเดลลา แห่งสาธารณะรัฐแอฟริกาใต้ ได้แสดง “ความแกล้วกล้า” ยอมรับว่าได้เป็นปฏิปักษ์ก่อการร้ายต่อรัฐบาลถือสีผิวในประเทศตน ซึ่งตนเห็นว่าไร้ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางการเมือง
และถูกจำคุกอยู่นานถึง 27 ปี ท่านได้เขียนฝากบทเรียนอันขมขื่นไว้ว่า “การแสดงความแค้นเคืองต่อผู้อื่น
ด้วยการกินยาพิษเสียเองนั้น มีแต่จะทำร้ายตัวเองเท่านั้น”
การกล่าวอาฆาตมาดร้ายต่อผู้อื่นว่า
“ถ้าข้าฯอยู่เมืองไทยไม่ได้
พวกเจ้าก็อยู่อย่างสงบสุขไม่ได้” การโกงกินขายชาติ
การเผาบ้านเมือง การเข่นฆ่ามวลมหาชนที่ขับไล่ “รัฐบาลหุ่นเชิด”
ด้วยวิธีสันติอหิงสา ตลอดจนการซื้อ ”ศักดิ์ศรีมนุษย์” ของข้าราชการทั้งหลายไว้เป็นบ่าวทาส
คือการแสดงความแค้นเคืองต่อผู้อื่นด้วยการ “กินยาพิษ” เสียเอง
ท่านซุนซื่อ ปรมาจารย์ระดับโลกในยุทธศาสตร์สงคราม ได้ประยุกต์คำสั่งสอนของท่านเล่าจื๊อไว้ในตำราพิชัยสงครามของท่าน
เมื่อราวสามพันปีก่อน (กองทัพ บกก็เป็นศิษย์ท่านซุนจื่อ )
กฎข้อแรกของท่านซุนจื่อ คือ “จงรู้จักศัตรู จงรู้จักตัวเอง แล้วจะไม่มีวันพ่ายแพ้”
การอ่าน “ค่านิยม” ของศัตรู จะช่วยให้เรารู้จักจุดจูงใจ/ไม่จูงใจ จุดอ่อน/จุดแข็ง ฯลฯ ของศัตรู เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนยุทธศาสตร์ ส่วนการอ่าน “ค่านิยม” ของตน จะช่วยให้เรารู้จักภาวะจิตใจตน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากับปกป้องตน
เมื่อรู้เขารู้เราแล้ว
เราจะไม่พายแพ้ เพราะตื่นรู้ว่าศัตรูของไทยมิใช่คนใส่เสื้อสี แต่เป็นคนมี
“ค่านิยม” ที่มีแรงจูงใจอยู่ที่ “วัตถุเงินทองอำนาจ” กลายเป็น “ข้าวนอกนา” ดังกล่าว และตื่นรู้ว่าเรามีอะไรที่ต้องทำการพัฒนาตนอย่างไรหรือไม่
ทั้งนี้ จะได้ปลดแอกตนเองให้พ้นจากภาวะ “ตีนถีบปากกัด” ที่อยู่กับ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ”
ที่ “รีดเลือดปู” ด้วยใจดำอำมหิตของคนบ้าเงินบ้าอำนาจเพียงไม่กี่คน
อนึ่ง เราตื่นรู้ด้วยว่า ไม่ว่าใครจะเขียนรัฐธรรมนูญอีกกี่ฉบับ ออกกฎหมายอีกกี่มาตรา เปลี่ยนระบบการทำงานอีกกี่ระบบ
ก็ตาม ล้วนเป็นมาตรการผิวเผิน “เกาแก้คัน” ชั่วคราวซ้ำซาก คนบ้าเงินบ้าอำนาจเพื่อตัวเอง ก็จะสามารถเอาชนะมาตรการดังกล่าว และอยู่ครองบ้านเมืองต่อไปด้วยความสะใจ
อัลเบิร์ตไอนสไตน์กล่าวไว้ว่า “การย้ำวิธีแก้ปัญหาเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วประสบความล้มเหลวมาตลอด คือการกระทำของคนสติเสีย
การแก้ปัญหาให้ได้ผลดี จักต้องใช้วิธีการที่มาจากองค์ความรู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวปัญหา”
ฉะนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำของ “คนสติเสีย”
เราจะต้องใช้วิธีที่ไม่ซ้ำแบบเดิม คือ “ปฏิรูปตนก่อน” ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้ชี้แนะไว้แต่แรกนานแล้ว และนำคำสอนของพระบรมศาสดาโลกตามที่ตนศรัทธา ผู้ทรงเป็นอริยบุคคล
มาประยุกต์แก้ปัญหาอันเกิดจากปุถุชน เพื่อว่า “ชีวิตของทหารหาญของเราเหล่านี้ จักมิต้องสูญเปล่าไปบนสมรภูมินี้”
“เหล้าเก่าในขวดเก่า” คือสิ่งที่ปวงชนพึงปฏิเสธอย่างไร้เงื่อนไข ส่วน “เหล้าใหม่ในขวดใหม่” คือสิ่งที่กลุ่มวอน.พึงนำกลับคืนมาเสริมสร้างให้เป็นรูปธรรมบนแผ่นดินไทย ด้วยการ "ปฏิรูปตน" เพื่อให้แผ่นดินไทยเป็น “แผ่นดินธรรม” อย่างที่ได้ถือกำเนิดมาสมัยสุโขทัยราว 7 ศตวรรษก่อน
แผ่นดินไทยคือ "แผ่นดินทอง" ที่มี
“ดินฟ้าอากาศ” เอื้ออำนวยต่อ “เกษตรกรรม” มีศักยภาพสูงที่จะเป็น “สวนครัวโลก” ซึ่งสามารถเสริม
“อำนาจการต่อรองบนเวทีโลก” ได้เป็นอย่างดี เมื่อกลุ่มวอน.ได้ “ปฏิรูปตน” สู่การมี
“ค่านิยม” ในกลุ่มจน.แล้ว จะมีอะไรในโลกนี้มาขวางกั้นความเจริญสุขของปวงชนได้?
บัดนี้ ปวงชนได้เดินทางมาถึงทางสองแพร่ง คือ
“อธรรม” และ “ธรรม” แล้ว จึงมีโอกาสใช้สิทธิ์ที่จะเลือกเดินเข้าสู่ทางหนึ่งใด ตามหลัก
“ประชาธิปไตย” ที่เรียก ร้องกันอยู่ และแสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือก/ไม่เลือกของตน
ตาม “กฎแห่งกรรม” อันเป็น “กฎแห่งธรรมชาติ” ที่ไม่มีใครได้รับการยกเว้น.
ประชาธิปไตยไทยเดิม
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
“ประชาธิปไตย” เปรียบได้กับสาวงามที่มากมีด้วยเสน่หาทั้งปวง
มีพี่น้องสองสาวงามพอๆกัน นามว่า “อิสราธิปไตย” และ “อัตตาธิปไตย”
จริงๆแล้ว สาวงาม “ประชาธิปไตย” นี้ มีต้นตระกูลมาจากชนชาติกรีกในยุโรปเมื่อราวสามพันปีก่อน สมัยนั้น วัฒนธรรมกรีกมีพระเจ้าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์อยู่หลายองค์ด้วยกัน
โดยมีการบูชาพระเจ้าตามกระบวนการ หรือ “กติกา” ที่มีมาช้านาน เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ
สาวงามผู้นี้จึงมี “กติกา” อยู่ในรหัสพันธุกรรม
“กติกา” สำคัญข้อหนึ่งของเธอได้แก่
“กติกาการเลือกตั้ง” ที่มุ่งหมายคัดเลือกผู้แทนปวงชนไปทำหน้าที่บริหารชาติบ้านเมือง เพื่อให้บังเกิดประโยชน์ต่อปวงชนเป็นหลัก ดังนั้น ผู้ปรารถนาเธอมาเป็นคู่ชีวิต จะต้องปฏิบัติตาม “กติกาการเลือกตั้ง” ของเธออย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงจะมีความเข้าใจและยอมรับต่อกันได้
อนิจจา ชาวไทยส่วนหนึ่งมักสอบตก “กติกาการเลือกตั้ง” ดังกล่าว ด้วยสาเหตุสำคัญ 3 ประการ คือ
(1) ก่อนเลือกตั้ง เจ้าของทุนสามาย์มักใช้เงินเป็นเวทย์มนต์คาถาสะกดจิตให้ปวงชนหย่อนบัตรเลือกตั้งตามบัญชาของนักการเมืองมือมืดที่มองไม่เห็น
โดยอาศัยนโยบายประชานิยม เงินหลวง หนี้บุญคุณส่วนตัว ฯลฯ ในการซื้อสิทธิ์เลือกตั้งอย่างแยบยล จนกลายเป็นการเลือกตั้ง “เชิงหุ่นเชิด” มิใช่ “เชิงประชาธิปไตย” ที่ปวงชนใช้สิทธิ์ตนด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(2) ระหว่างเลือกตั้ง
มักมีกิจกรรมพิฆาตคู่แข่งในกลุ่มนักการเมืองผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยมีเสียงระเบิดกับเสียงปืนดังกึกก้องอยู่เบื้องหลังเป็นประจำ ราวกับว่าการเลือกตั้งเป็น “เรื่องอัปมงคล”
ต้องห้ามที่สุด
(3) หลังเลือกตั้ง
มักมีข้อกล่าวหาทั้งที่มีและไม่มีหลักฐานว่า มีการฝ่าฝืนกติกาหาเสียง
การปลอมบัตรเลือกตั้ง การโกงการนับบัตรเลือกตั้ง ฯลฯ อยู่ทั่วไป ส่งผลให้มีการสอบสวน การแก้ไข ตลอดจนการฟ้องร้องคดีความอยู่ดาษดื่น ยังผลให้สิ้นเปลืองเวลางบประมาณโดยใช่เหตุตลอดมา
ทั้งสามกรณีน่าสลดใจนี้ บ่งบอกอาการ “ภูมิแพ้” ขั้นรุนแรงของนักการเมืองส่วนหนึ่งต่อ “ประชาธิปไตย” ส่อว่านักการเมืองดังกล่าวมีรหัสพันธุกรรมที่ไม่อำนวยต่อการรับรู้ทำความเข้าใจและยอมรับ "จิตวิญญาณ" ของสาวงามนามว่า “ประชาธิปไตย” อยู่อย่างน้อย 3 ข้อ คือ
(1) ต่างมีพรสวรรค์เป็น “นักโต้แย้ง” ที่เกิดมาเพื่อโต้แย้งด้วยมิจฉาทิฐิ มีพฤติกรรมที่ไม่รับรู้ไม่ยอมรับในสิทธิ์ของผู้อื่นที่จะให้กติกาการเมืองทรงความชอบธรรมต่อปวงชน เช่น อดีตรัฐบาลได้พยายามตรากฎหมายขึ้นมาชำระล้างบาปของบรรดานักการเมืองที่โกงกินขายชาติ โดยไม่รับฟังเสียงคัดค้านอย่างแข็งขันจากผู้มีสิทธิ์ทั้งหลาย เป็นต้น
(2) ต่างต้องการ “สิทธิ์เล่นการเมือง” ด้วยการโกงกินขายชาติ แต่ไม่ต้องการ “ความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง” เมื่อความต้องการของตนขัดแย้งกับของผู้อื่น ต่างก็ก้าวร้าวต่อผู้อื่นอย่างป่าเถื่อน ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิ์โดยชอบของผู้อื่นและฝ่าฝืนกติกาทางการเมืองอันชอบธรรม เช่น กรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรบางรายใช้วาจาสามหาวหรือเท้าเหยียดหยามทำร้ายร่างกายคู่แข่งในรัฐสภา
“อันทรงเกียรติ” อย่างไร้ยางอาย และกรณียิงระเบิดพิฆาตอย่างเหี้ยมโหดใส่ผู้ขับไล่รัฐบาลทรราชย์ด้วยวิธีอหิงสาสันติ เป็นต้น
(3) ต่างขาด “คารวะธรรม” ของ “นักประชาธิปไตยแท้จริง” มีแต่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยการเหยียดหยาม ไม่มีความนับถือในศักดิ์และสิทธิโดยชอบของผู้อื่นอย่างเสมอภาคกัน
เช่น กรณีประธานรัฐสภาที่คอยบิดเบี้ยว “กติการัฐสภา” ให้ลำเอียงเข้าหานักการเมืองพวกเดียวกับตน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นต้น
เห็นได้ว่า นักการเมืองดังกล่าว มี “ภูมิแพ้” ต่อจิตวิญญาณ “ประชาธิปไตย” อย่างรุนแรง และปฏิเสธบทบาท “นักประชาธิปไตยแท้จริง” อย่างแจ่มชัด ฉะนั้น “ประชาธิปไตย” ดังกล่าว ย่อมไม่ใช่
“เนื้้อคู่้” สำหรับ นักการเมืองเหล่านี้อย่างแน่นอน และไม่สามารถอำนวยประโยชน์สุขที่ยั่้งยืนให้กับปวงชนไทยอย่างที่พิสูจน์มาแล้วร่วม 7 ทศวรรษ
“อิสราธิปไตย” อาจเป็นเนื้อคู่ได้ ด้วยมีกติกาง่ายๆว่า “ทำตามใจข้าฯ
ได้คือไทยแท้” ซึ่งย่อมถูกใจนักการเมืองดังกล่าว แต่วัฒนธรรมไร้วินัย ไร้ความพร้อมใจกันก้าวไปด้วยกัน กลายเป็นพิมพ์เขียวสู่ความล้มเหลวที่ไม่มีผู้ใดที่กอปรด้วยสติปัญญาต้องการสนับสนุนหรือพลีชีพให้
ส่วน “อัตตาธิปไตย” หรือ “ระบอบเผด็จการเพื่อตัวเอง” นั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งและยืมมาจากจอมเผด็จการฮิตเล่อร์ ผู้ฆ่าตัวตายหลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
จริงๆแล้ว ระบอบเผด็จการไม่จำต้องเลวเสมอไป โดยเฉพาะเผด็จการที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
ท่านพุทธทาสสอนไว้ว่า “…พระเจ้าอโศกมหาราช เผด็จการไม่ยอมให้ทำผิดทำชั่ว
เผด็จการให้ทำดี ก็ไปได้เร็ว เท่านั้นเอง…”
พระเจ้าธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศกมหาราช) ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา
ได้รับการยกย่องโดยเอชจี เวลล์ซ นักประวัติ ศาสตร์โลกที่มีชื่อเสียง ให้อยู่ใน 6 อัครมหาบุรุษแห่งประวัติศาสตร์โลก ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธเจ้า
โซเครติส อริสโตเติล โรเจอร์เบคอน แอบราฮัมลินคอล์น และพระเจ้าอโศกมหาราช
ฉะนั้น ใครที่ประกาศต่อต้าน “เผด็จการทั้งปวง” ตลอดกาล ย่อมส่อให้เห็นจิตใต้สำนึกที่ต้องการ
“เผด็จการเพื่อตัวเอง” อย่างเห็นได้ชัด
ชาติไทยไม่จำตัองเดินตามก้นชาติอื่นในการปกครองตนเอง
เพราะมีประวัติศาสตร์กับวัฒนธรรมอันดีงามมาร่วม 7 ศตวรรษ
และมีสี่เสาหลักของชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาช้านาน
คือ โครงสร้างทางสังคม จิตวิญญาณทางสังคม การเศรษฐศาสตร์ และการทหาร ซึ่งล้วนแต่บ่งบอกถึงความเป็น
“ประชาธิปไตยไทยเดิม” โดยมีรากฐานอยู่ที่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีพุทธเศรษฐศาสตร์ (Small
is Beautiful by E. F. Schumacher) พุทธนิเวศวิทยา (การทำตนดั่งภมรผึ้ง) พุทธภาวนาจิต (วิถีพัฒนาจิต) พุทธรัฐศาสตร์
(ธรรมาธิปไตย) ตลอดจนทศพิธราชธรรม (คุณธรรมผู้ปกครองบ้านเมือง) สำหรับบริหารชาติบ้านเมืองสู่ความเจริญสุขอย่างยั่งยืนอยู่พร้อมมูล
ยิ่งกว่านั้น ชาติไทยยังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระองค์ทรงมีพระราชดำรินับแต่ปีพ.ศ.2517 เกี่ยวกับปรัชญาว่าด้วย
“แนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชน” สำหรับทุกระดับ
ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน จนถึงรัฐ และ “การพัฒนาและบริหารประเทศ”
ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ
เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ในการนี้ นายโคฟี่ อันนัน เลขาิธิการองค์การสหประชาชาติ (2540-2559)
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ (2543) ได้กล่าวสดุดียกย่องพระองค์ไว้ว่า
“ปรัชญาของพระองค์ เสริมความหนักแน่นให้กับนโยบายขององค์การ
สหประชาชาติ ซึ่งสนับสนุนแนวทางยั่งยืนในการพัฒนามนุษยชาติ ด้วยวิถีทางที่ยึดถิอปวงชนเป็นหลัก”
ท่านอันนันได้ถวายรางวัลแรกขององค์การสหประชาชาติ (2549) ชื่อว่า “รางวัลผลงานตลอดชีพในการพัฒนามนุษยชาติ” แด่พระองค์
และเชิญชวนให้ประเทศภาคีสมาชิกองค์การฯ นำปรัชญาดังกล่าวของพระองค์ไปพิจารณาประยุกต์ ในประเทศตน
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยน่าจะให้บทเรียนได้บ้างว่า
การเดินตามก้นชาติอื่น ราวกับเป็นเมืองขึ้นชาติอื่น นั้น ได้ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเป็นโรคทางกายและจิตที่ชนชาติอื่นนิยมเป็นกัน
จนรัฐบาลไทยสร้างโรงพยาบาลและกลไกตุลาการได้ไม่ทันกาล
ซึ่งบ่งบอกถึงอาการเจริญลง มิใช่เจริญขึ้นอย่างที่ได้เกิดขึ้นนับแต่สมัยสุโขทัยจวบจนทุนนิยมสามานย์เริ่มแผ่
“ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” เข้าไทย
และก่อให้เกิดวงจรอุบาทว์ของการเลือกตั้งอัปมงคล การมีรัฐบาลโกงกินชาติ การขับไล่ทรราช ตลอดจนการพลีชีพของวีรชนกับทหารหาญนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้ ส่งผลบั่นทอนทำลายโอกาสพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของชาติอย่างบอบช้ำที่สุดมาช้านาน
แผ่นดินไทยคือแผ่นดินทองที่มีดินฟ้าอากาศเหมาะสมยิ่งต่อการทำเกษตรกรรม
มิใช่อุตสาหกรรม ที่ทุนสามานย์ได้หลอกรัฐบาลชุดก่อนๆ ให้มีสิทธิ์เข้ามาเอารัดเอาเปรียบค่าแรงงานราคาต่ำของไทย
เกษตรกรรมไทยมีศักยภาพสูงในการเป็น “สวนครัวโลก” เสริมสร้างมาตรฐานการครองชีพ ลดมลภาวะในเมือง ช่วยอพยพเกษตรกรจากเมืองกลับคืนสู่ชนบท สู่บ้านของบรรพชนตน ตลอดจนเพิ่มผลผลิตเกษตรสำหรับบริโภคภายในประเทศและส่งออกขายใ่นตลาดโลกที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรรมไทยจะทำให้ "อำนาจการต่อรอง" ของไทยบนเวทีโลกเพิ่มสูงขึ้นทันที
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ปวงชนจะตื่นรู้ด้วยจิตวิญญาณพุทธ
ให้สมกับที่เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า หรือจะยังมัวแต่อยู่ “ใกล้เกลือกินด่าง” ต่อไปเรื่อยๆ?