Saturday, January 3, 2015

มะเร็งการเมือง
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com

        ประเทศไทยเปรียบได้กับ คนมีกรรมที่ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ทาง การเมืองอยู่นาน สูญเสียโอกาสพัฒนาตนเองอย่างน่าเสียดายยิ่ง เนื่องจากขาดเสถียรภาพทางการเมืองมาตลอด

        “วงจรอุบาทว์ดังกล่าวประกอบด้วยการเลือกตั้งที่ซื้อขายนักการเมือง การตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด การซื้อขายศักดิ์ศรีข้าราชการ การโกงกินขายชาติ การประท้วงขับไล่ทรราช การพลีชีพของวีรชนกับทหารหาญ การทำรัฐประหาร การจัดระบบงานใหม่ ฯลฯ 

         “วงจรอุบาทว์” ก่อให้เกิด “ทุกข์มหันต์ เพราะผู้คนในสังคมจำนวนมาก รับเอาค่านิยมที่ยึดถือวัตถุเงินทองอำนาจสรรพสิ่งนอกกาย มาเป็นสรณะ โดยมีต้นกำเนิดมาจาก วัฒนธรรมต่างแดนที่นิยมการผลิตวัตถุอย่างบ้าคลั่ง คือ ผลิตเพื่อผลิตจนได้ก่อให้เกิดมลภาวะและทำลายนิเวศวิทยาอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิด ภาวะโลกร้อนที่เริ่มคุกคามความมั่นคงทางสังคมกับเศรษฐกิจอยู่ทั่วโลก

        “การผลิตวัตถุทำให้มีการขาย กำไร เงินทอง ตลอดจนอำนาจ เมื่อบริ หารด้วยจิตโลภโมโทสัน ก็ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมอัปมงคลที่ถือว่าใครมีเงินถือเป็นน้อง ใครมีทองถือเป็นพี่” “รวยอย่างไรก็ได้ จะได้ไม่เสียชาติเกิด” “ไม่โกงไม่รวย” “ยิ่งรวย บารมียิ่งมาก” “ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน ค่าของงานอยู่ที่การกระทำ” “ชีวิต จิตใจ อวัยวะคนสัตว์ วัตถุสิ่งของ ล้วนตีราคาซื้อขายกันได้หมด” “ไม่มีของฟรี” “การบริโภคล้นเกินโอ้อวดเงินทองคือการมีหน้าตาสง่างามฯลฯ

ผลผลิตเลวร้ายของวัฒนธรรอัปมงคลที่นิยมวัตถุเงินทองอำนาจนี้ ได้แก่นักการเมืองที่บูชาเงินทองและใฝ่หาอำนาจเพื่อตัวเอง ซึ่งก็คือ “ตัวมะเร็งการเมือง” ที่พร้อมที่จะโกงกินขายชาติ เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ เพื่อให้ได้มาซึ่ง สรรพสิ่งนอกกาย ราวกับว่าเป็นพันธกิจอันยิ่งใหญ่แห่งชีวิตตน

ในช่วงที่คลื่นลมทางการเมืองกำลังปลอดพ้นจากการโกงกินขายชาติอยู่นี้ นับเป็นจังหวะเหมาะที่ผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ทั้งหลาย จะหันมาร่วมกันหาตอบโจทย์ที่ว่า ทำอย่างไรมะเร็งการเมืองจะไม่หวนกลับมาครองเมืองกันอีก?  

ในการนี้ ผู้เขียนใคร่ขอเสนอข้อคิดเห็นบางประการ เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนพันธกิจอันยิ่งใหญ่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดังนี้

(1) โดยที่ไทยมิได้ปกครองด้วยระบอบ เทวาธิปไตยที่ยึดคำสอนของ พระผู้เป็นเจ้าส่วนตนเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ อย่างเช่นบางประเทศในภาคตะวันออกกลาง แต่ไทยมีพระพุทธศาสนาที่เปิดกว้างให้ทุกคนเลือกระบอบการปกครองตามที่เห็นสมควร และยังเปิดกว้างให้ศาสนาต่างๆ เผยแผ่คำสอนของพระบรมศาสดาตนได้อย่างอิสระเสรีบนแผ่นดินไทย

คสช. น่าจะพิจารณาให้มีมาตรการส่งเสริมการเผยแผ่คำสอนของพระบรมศาสดาโลก ทั้งทางสื่อมวลชนและสื่อสังคมอย่างกว้างขวาง เพื่อว่าความรู้ข้อมูลที่เป็นของอริยบุคคล จะได้ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา โดยให้ทำในลักษณะ ยาดีไม่จำต้องขม” เพื่อให้เป็นยาบำบัด มะเร็งการเมือง ต่อไป

คำสอนในศาสนามีอานุภาพเจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธาได้มาก สังเกตได้ว่า ในสมัยกรุงสุโขทัย ก็ดี กรุงรัตนโกสินทร์ ก็ดี บ้านกับวัดพุทธมักอยู่ห่างกันแค่ได้ยินเสียงระฆังวัด พระธรรมที่สอนให้ชาวนาชาวไร่มีจิตตื่นรู้และเบิกบาน ได้ซึมซับเข้าไปในรหัสพันธุกรรมของชาวบ้านมากว่า 700 ปี จน ยิ้มสยามโด่งดังไปทั่วโลก และน้ำใจไทยก็เป็นที่ชื่นชอบของชาวสวีเดนราวสี่หมื่นคน ซึ่งพากันอพยพมาอยู่อย่างถาวรเต็มเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ 

(2) โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาแต่สมัยสุโขทัย อีกทั้งเป็นศาสนาหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจศึกษาเพิ่มเติมจากปัญญาชนในประเทศต่างๆอยู่ไม่น้อย คณาจารย์สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา มักขอเข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณพุทธทิเบต เพื่อขอศึกษาพระธรรม และผู้มีจิตศรัทธาชาวอเมริกันนับหมื่นแสนคน มักเดินทางไปฟังคำปราศรัยขององค์ทะไลลามะ ขณะเสด็จเยือนสหรัฐฯอยู่เป็นประจำ   

คสช.น่าจะพิจารณาให้มีมาตรการดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยยกระดับกรมการศาสนาขึ้นเป็นกระทรวงการศาสนา เพื่อเร่งรัดฟื้นฟูวัดพุทธทั่วประเทศอย่างจริงจัง โดยร่วมกับชาวบ้านในท้องถิ่น ให้วัดพุทธมีสมรรถภาพทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรม พัฒนาจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา ตลอดจนรื้อฟื้น ทำนุบำรุงวัฒนธรรมไทยเดิมอันงดงาม ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชมของชาวต่างชาติจำนวนมาก ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองสืบไป
  
ทั้งนี้ เพื่อให้วัดพุทธมีสมรรถภาพบำรุงรักษาสุขภาพจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา ในทำนองเดียวกับที่โรงพยาบาลบำรุงรักษาสุขภาพกายของประชาชน ถ้าวัดพุทธเป็นอัมพาธไป อย่างที่กำลังเป็นอยู่หลายแห่ง ผู้มีจิตศรัทธาจะหมดโอกาสลิ้มรสพระธรรม และจะขาดภูมิคุ้มกันต่อ ค่านิยมที่ยึด สรรพสิ่งนอกกายเป็นสรณะ ส่งผลให้เกิดปัญหาทางจิตวิญญาณที่คุกคามความมั่นคงแห่งชาติได้

อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนามีพุทธเศรษฐศาสตร์ (Small is Beautiful by E. F. Schumacher) พุทธนิเวศวิทยา (การทำตนดั่งภมรผึ้ง) พุทธภาวนาจิต (วิถีพัฒนาจิต) พุทธรัฐศาสตร์ (ธรรมาธิปไตย) ตลอดจนทศพิธราชธรรม (คุณธรรมผู้ปกครองบ้านเมือง) สำหรับบริหารชาติบ้านเมืองสู่ความเจริฐสุขอย่างยั่งยืนอยู่พร้อมมูล

(3) โดยที่ชาติไทยคือองค์กรขนาดใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินไทย การบริหารราชการจึงเป็นเรื่องสลับซับซ้อนยิ่ง ด้วยเหตุนี้ กระบวนการป้องกันแก้ไขปัญหาระดับชาติย่อมมีความน่าเป็นไปได้สูงที่จะประสบอุปสรรคอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่เชิงลบที่มีผลกระทบต่อพันธกิจของคสช.ได้

คสช.น่าจะพิจารณาสร้างระบบสำรวจปวงชนขึ้นมา เพื่อหยั่งรู้ความรู้สึก ข้อเสนอแนะ ตลอดจนกระแสสังคมในสี่ภาคเป็นประจำ เพื่อนำผลสำรวจปวงชนมาพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายของคสช.ให้ประสบผลดี

ระบบสำรวจปวงชนคือเทคนิคในการรวบรวม ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์การภาคเอกชน ตามเทคนิคพัฒนาองค์การ ในสาขาวิชาจิตวิทยาองค์การและอุตสาหกรรม แม้กระทั่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประชากร 1.3 พันล้านคน ก็ใช้เทคนิค ข้อมูลป้อนกลับนี้ ในการสำรวจปวงชนอย่างต่อเนื่องและเป็นกิจลักษณะมานานแล้ว

(4) โดยที่ทรัพยากรมนุษย์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง งานพัฒนาสังคมย่อมมีความสำคัญยิ่งกว่างานพัฒนาเศรษฐกิจ ข้อสำคัญ ในยุคโลกาภิวัฒน์ของทุนนิยม ซึ่งยังขาด ความรู้สำนึกในศีลธรรมอยู่มากนี้ ชนชั้นเศรษฐีขึ้นไป มีแต่จะร่ำรวยยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนทะลุฟ้า ชนชั้นกลางยังพอมีโอกาสขยับขึ้นเป็นเศรษฐีได้บ้าง แต่วาสนาแบบนี้มีแต่ลดน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนชนชั้นยากจนโดยทั่้วไป อนิจจา จะหมดสิทธิ์ “ลืมตาอ้าปาก” ขยับขึ้นเป็นชั้นกลาง กลายเป็นจุดอ่อนที่ผู้มุ่งร้ายต่อชาติศาสน์กษัตริย์จะเข้าไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวอันมิชอบได้

คสช.น่าจะพิจารณาทบทวนหลักการเหตุผลการก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใหม่หมด แล้วพิจารณาสถาปนา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นแทน รวมทั้งทบทวนข้อสังเกตที่ว่า คนขยันฉลาดย่อมมี ผลิตภาพสูงกว่า คนขยันโง่หรือ คนดีย่อมส่งผลให้เกิดเศรษฐกิจดีและ คนไทยจำนวนมากเป็นคนขี้อิจฉาริษยาเพื่อจะได้มีกลไกที่จำเป็นเหมาะสมกับงานพัฒนาสังคมต่อไป


ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ทั้งหลาย จะพร้อมใจกันทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาสิทธิทางการเมืองของตน ด้วยการแสดง “ความรับผิดชอบ” ช่วยกันหาทางกำจัดมะเร็งการเมืองไม่เป็น ไทยเฉยเพื่อว่าตนกับบุตรหลานจะได้ไม่ต้องเป็น “คนมีกรรม” ที่ “ตีนถีบปากกัด” อยู่ใน “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ที่ “รีดเลือดปู” ด้วยใจอำมหิตของคนบูชาเงินทองบ้าอำนาจ เพียงไม่กี่คน และจะได้มีอนาคตที่คู่ควรกับแผ่นดินไทยแผ่นดินธรรมเสียที?

No comments:

Post a Comment