มะเร็งการเมือง
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
ประเทศไทยเปรียบได้กับ “คนมีกรรม” ที่ตกอยู่ใน “วงจรอุบาทว์ทาง การเมือง” อยู่นาน สูญเสียโอกาสพัฒนาตนเองอย่างน่าเสียดายยิ่ง เนื่องจากขาดเสถียรภาพทางการเมืองมาตลอด
“วงจรอุบาทว์” ดังกล่าวประกอบด้วยการเลือกตั้งที่ซื้อขายนักการเมือง การตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด การซื้อขายศักดิ์ศรีข้าราชการ การโกงกินขายชาติ การประท้วงขับไล่ทรราช การพลีชีพของวีรชนกับทหารหาญ
การทำรัฐประหาร การจัดระบบงานใหม่ ฯลฯ
“วงจรอุบาทว์” ก่อให้เกิด “ทุกข์” มหันต์ เพราะผู้คนในสังคมจำนวนมาก รับเอา “ค่านิยม” ที่ยึดถือ “วัตถุเงินทองอำนาจ” “สรรพสิ่งนอกกาย” มาเป็นสรณะ โดยมีต้นกำเนิดมาจาก วัฒนธรรมต่างแดนที่นิยม “การผลิตวัตถุ” อย่างบ้าคลั่ง
คือ “ผลิตเพื่อผลิต” จนได้ก่อให้เกิดมลภาวะและทำลายนิเวศวิทยาอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” ที่เริ่มคุกคามความมั่นคงทางสังคมกับเศรษฐกิจอยู่ทั่วโลก
“การผลิตวัตถุ” ทำให้มีการขาย กำไร เงินทอง ตลอดจนอำนาจ เมื่อบริ หารด้วยจิตโลภโมโทสัน ก็ส่งผลให้เกิด “วัฒนธรรมอัปมงคล” ที่ถือว่า “ใครมีเงินถือเป็นน้อง ใครมีทองถือเป็นพี่” “รวยอย่างไรก็ได้ จะได้ไม่เสียชาติเกิด” “ไม่โกงไม่รวย” “ยิ่งรวย บารมียิ่งมาก” “ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน ค่าของงานอยู่ที่การกระทำ” “ชีวิต จิตใจ อวัยวะคนสัตว์ วัตถุสิ่งของ ล้วนตีราคาซื้อขายกันได้หมด” “ไม่มีของฟรี” “การบริโภคล้นเกินโอ้อวดเงินทองคือการมีหน้าตาสง่างาม” ฯลฯ
ผลผลิตเลวร้ายของ “วัฒนธรรอัปมงคล” ที่นิยม “วัตถุเงินทองอำนาจ” นี้ ได้แก่ “นักการเมืองที่บูชาเงินทองและใฝ่หาอำนาจเพื่อตัวเอง” ซึ่งก็คือ “ตัวมะเร็งการเมือง” ที่พร้อมที่จะโกงกินขายชาติ เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ เพื่อให้ได้มาซึ่ง “สรรพสิ่งนอกกาย” ราวกับว่าเป็นพันธกิจอันยิ่งใหญ่แห่งชีวิตตน
ในช่วงที่คลื่นลมทางการเมืองกำลังปลอดพ้นจากการโกงกินขายชาติอยู่นี้ นับเป็นจังหวะเหมาะที่ผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ทั้งหลาย จะหันมาร่วมกันหาตอบโจทย์ที่ว่า ทำอย่างไร “มะเร็งการเมือง” จะไม่หวนกลับมาครองเมืองกันอีก?
ในการนี้ ผู้เขียนใคร่ขอเสนอข้อคิดเห็นบางประการ
เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนพันธกิจอันยิ่งใหญ่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) ดังนี้
(1) โดยที่ไทยมิได้ปกครองด้วยระบอบ
“เทวาธิปไตย” ที่ยึดคำสอนของ พระผู้เป็นเจ้าส่วนตนเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ อย่างเช่นบางประเทศในภาคตะวันออกกลาง แต่ไทยมีพระพุทธศาสนาที่เปิดกว้างให้ทุกคนเลือกระบอบการปกครองตามที่เห็นสมควร
และยังเปิดกว้างให้ศาสนาต่างๆ เผยแผ่คำสอนของพระบรมศาสดาตนได้อย่างอิสระเสรีบนแผ่นดินไทย
คสช. น่าจะพิจารณาให้มีมาตรการส่งเสริมการเผยแผ่คำสอนของพระบรมศาสดาโลก ทั้งทางสื่อมวลชนและสื่อสังคมอย่างกว้างขวาง เพื่อว่าความรู้ข้อมูลที่เป็นของอริยบุคคล
จะได้ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา โดยให้ทำในลักษณะ “ยาดีไม่จำต้องขม” เพื่อให้เป็นยาบำบัด “มะเร็งการเมือง” ต่อไป
คำสอนในศาสนามีอานุภาพเจาะลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธาได้มาก
สังเกตได้ว่า ในสมัยกรุงสุโขทัย ก็ดี กรุงรัตนโกสินทร์ ก็ดี บ้านกับวัดพุทธมักอยู่ห่างกันแค่ได้ยินเสียงระฆังวัด พระธรรมที่สอนให้ชาวนาชาวไร่มีจิตตื่นรู้และเบิกบาน ได้ซึมซับเข้าไปในรหัสพันธุกรรมของชาวบ้านมากว่า 700 ปี จน “ยิ้มสยาม” โด่งดังไปทั่วโลก และ
“น้ำใจไทย” ก็เป็นที่ชื่นชอบของชาวสวีเดนราวสี่หมื่นคน ซึ่งพากันอพยพมาอยู่อย่างถาวรเต็มเกาะลันตา
จังหวัดกระบี่
(2) โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาแต่สมัยสุโขทัย อีกทั้งเป็นศาสนาหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจศึกษาเพิ่มเติมจากปัญญาชนในประเทศต่างๆอยู่ไม่น้อย คณาจารย์สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา มักขอเข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณพุทธทิเบต เพื่อขอศึกษาพระธรรม และผู้มีจิตศรัทธาชาวอเมริกันนับหมื่นแสนคน
มักเดินทางไปฟังคำปราศรัยขององค์ทะไลลามะ
ขณะเสด็จเยือนสหรัฐฯอยู่เป็นประจำ
คสช.น่าจะพิจารณาให้มีมาตรการดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา
โดยยกระดับกรมการศาสนาขึ้นเป็น “กระทรวงการศาสนา”
เพื่อเร่งรัดฟื้นฟูวัดพุทธทั่วประเทศอย่างจริงจัง โดยร่วมกับชาวบ้านในท้องถิ่น ให้วัดพุทธมี “สมรรถภาพ” ทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรม พัฒนาจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา
ตลอดจนรื้อฟื้น ทำนุบำรุงวัฒนธรรมไทยเดิมอันงดงาม
ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชมของชาวต่างชาติจำนวนมาก ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองสืบไป
ทั้งนี้ เพื่อให้วัดพุทธมีสมรรถภาพบำรุงรักษาสุขภาพจิตวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธา
ในทำนองเดียวกับที่โรงพยาบาลบำรุงรักษาสุขภาพกายของประชาชน ถ้าวัดพุทธเป็นอัมพาธไป
อย่างที่กำลังเป็นอยู่หลายแห่ง ผู้มีจิตศรัทธาจะหมดโอกาสลิ้มรสพระธรรม และจะขาดภูมิคุ้มกันต่อ
“ค่านิยม” ที่ยึด “สรรพสิ่งนอกกาย” เป็นสรณะ ส่งผลให้เกิดปัญหาทางจิตวิญญาณที่คุกคามความมั่นคงแห่งชาติได้
อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนามีพุทธเศรษฐศาสตร์ (Small is Beautiful by E. F. Schumacher) พุทธนิเวศวิทยา (การทำตนดั่งภมรผึ้ง)
พุทธภาวนาจิต
(วิถีพัฒนาจิต)
พุทธรัฐศาสตร์ (ธรรมาธิปไตย) ตลอดจนทศพิธราชธรรม (คุณธรรมผู้ปกครองบ้านเมือง) สำหรับบริหารชาติบ้านเมืองสู่ความเจริฐสุขอย่างยั่งยืนอยู่พร้อมมูล
(3)
โดยที่ชาติไทยคือองค์กรขนาดใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินไทย การบริหารราชการจึงเป็นเรื่องสลับซับซ้อนยิ่ง ด้วยเหตุนี้ กระบวนการป้องกันแก้ไขปัญหาระดับชาติย่อมมีความน่าเป็นไปได้สูงที่จะประสบอุปสรรคอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่เชิงลบที่มีผลกระทบต่อพันธกิจของคสช.ได้
คสช.น่าจะพิจารณาสร้าง “ระบบสำรวจปวงชน” ขึ้นมา เพื่อหยั่งรู้ความรู้สึก ข้อเสนอแนะ ตลอดจนกระแสสังคมในสี่ภาคเป็นประจำ เพื่อนำ “ผลสำรวจปวงชน” มาพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายของคสช.ให้ประสบผลดี
“ระบบสำรวจปวงชน” คือเทคนิคในการรวบรวม “ข้อมูลป้อนกลับ” เกี่ยวกับการบริหารงานขององค์การภาคเอกชน
ตามเทคนิคพัฒนาองค์การ ในสาขาวิชาจิตวิทยาองค์การและอุตสาหกรรม แม้กระทั่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประชากร 1.3 พันล้านคน ก็ใช้เทคนิค “ข้อมูลป้อนกลับ” นี้ ในการสำรวจปวงชนอย่างต่อเนื่องและเป็นกิจลักษณะมานานแล้ว
(4) โดยที่ทรัพยากรมนุษย์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง งานพัฒนาสังคมย่อมมีความสำคัญยิ่งกว่างานพัฒนาเศรษฐกิจ
ข้อสำคัญ ในยุคโลกาภิวัฒน์ของทุนนิยม
ซึ่งยังขาด “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” อยู่มากนี้ ชนชั้นเศรษฐีขึ้นไป มีแต่จะร่ำรวยยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนทะลุฟ้า
ชนชั้นกลางยังพอมีโอกาสขยับขึ้นเป็นเศรษฐีได้บ้าง แต่วาสนาแบบนี้มีแต่ลดน้อยลงเรื่อยๆ
ส่วนชนชั้นยากจนโดยทั่้วไป อนิจจา จะหมดสิทธิ์
“ลืมตาอ้าปาก” ขยับขึ้นเป็นชั้นกลาง
กลายเป็นจุดอ่อนที่ผู้มุ่งร้ายต่อชาติศาสน์กษัตริย์จะเข้าไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวอันมิชอบได้
คสช.น่าจะพิจารณาทบทวนหลักการเหตุผลการก่อตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ใหม่หมด
แล้วพิจารณาสถาปนา “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ” ขึ้นแทน รวมทั้งทบทวนข้อสังเกตที่ว่า “คนขยันฉลาด” ย่อมมี “ผลิตภาพ” สูงกว่า “คนขยันโง่” หรือ “คนดีย่อมส่งผลให้เกิดเศรษฐกิจดี” และ “คนไทยจำนวนมากเป็นคนขี้อิจฉาริษยา” เพื่อจะได้มีกลไกที่จำเป็นเหมาะสมกับงานพัฒนาสังคมต่อไป
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ทั้งหลาย จะพร้อมใจกันทำหน้าที่ปกปักษ์รักษา
“สิทธิ” ทางการเมืองของตน ด้วยการแสดง
“ความรับผิดชอบ” ช่วยกันหาทางกำจัด “มะเร็งการเมือง” ไม่เป็น “ไทยเฉย” เพื่อว่าตนกับบุตรหลานจะได้ไม่ต้องเป็น
“คนมีกรรม” ที่ “ตีนถีบปากกัด” อยู่ใน “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ที่ “รีดเลือดปู”
ด้วยใจอำมหิตของคนบูชาเงินทองบ้าอำนาจ เพียงไม่กี่คน และจะได้มีอนาคตที่คู่ควรกับแผ่นดินไทยแผ่นดินธรรมเสียที?
No comments:
Post a Comment