Saturday, January 17, 2015

ใบหน้านั้น สำคัญไฉน?
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต

      ใบหน้าคืออวัยวะที่เรามองเห็นได้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างทำงาน เดินทาง หรือสมาคมสังสรรค์

      ตำราโหงวเฮ้งใบหน้าของฝรั่งมีหรือไม่? ถ้ามี เขามีข้อสังเกตอะไรบ้าง?

      กลุ่มนักวิจัยพฤติกรรมนักบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ริเวอร์เดล สหรัีฐอเมริกา สถาบันศึกษาธุรกิจลอนดอน สหราชอาณาจักร และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค พบว่า ผู้ชายที่มีใบหน้าทรงกลม (มีส่วนกว้างระหว่างด้านข้างขอบแก้มทั้งสองที่ยาวกว่าส่วนสูงระหว่างคิ้วกับริมฝีปากบน) มักทำการเจรจาต่อรองเงินโบนัส ในวงเงินราว 66,000 บาท สูงกว่าชายอื่นที่มีใบหน้าทรงไข่ (มีส่วนกว้างที่สั้นกว่าส่วนสูง)

      ผลวิจัยในที่นี้ ไม่ได้พาดพิงถึงใบหน้าทรงอื่นเลย ฉะนั้น ผู้มีหน้าเหลี่ยมหน้าแบน หน้าอ่อนหน้าแก่ หน้ากึ่งกลมหน้ากึ่งไข่ ฯลฯ ก็อย่าเพิ่งดีใจ เสียใจ หรือ ร้อนใจ ว่า บทความนี้กำลังชมหรือนินทาเราทางอ้อมแน่ๆเลย คือ อย่าเพิ่ง “ถึงบางอ้อก่อนเรือออก” ก็แล้วกัน

      วารสารภาวะผู้นำรายสามเดือนรายงานว่า ผู้วิจัยดังกล่าวให้นักศึกษาชาย 60 คน สวมบทบาทเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งได้รับการบรรจุตำแหน่งงาน โดยแบ่งเป็นคนหน้ากลม 30 คน และคนหน้าไข่ 30 คน แต่ละคนทำการเจรจาต่อรองประเด็นเงินโบนัสสมมติกับนักศึกษาอีกคนหนึ่ง ซึ่งสวมบทบาทเป็นพนักงานบรรจุตำแหน่งงาน ปรากฏว่า คนหน้ากลมมักเจรจาเงินโบนัสในวงเงินที่สูงกว่าคนหน้าไข่ถึง 66,000 บาท คือ คนหน้ากลมมักต้องการเงินและกล้าเสี่ยงมากกว่าคนหน้าไข่

      ในวิจัยอีกรายหนึ่ง นักวิจัยกลุ่มเดียวกันให้ นักศึกษาปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ 46 คน สวมบทบาทซื้อและขายที่ดินสมมติแปลงหนึ่ง ปรากฏว่า ในฐานะผู้ขาย นศ.หน้ากลมมักเจรจาขายในวงเงินที่สูงกว่านศ.หน้าไข่มาก ส่วนในฐานะผู้ซื้อ นศ.หน้ากลมก็มักเจรจาซื้อในวงเงินที่ต่ำกว่านศ.หน้าไข่มากเช่นกัน

       บุคคลหน้ากลมที่นักวิจัยยกเป็นตัวอย่างไว้ มีอาทิ เลียวนาร์โด้ ดีคาปรีโอ (ดารานำชายเรื่องไททานิก) โรนาล รีแกน (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ไมค์ เดล์ล (ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารกิจการคอมพิวเตอร์เดล์ล) และอัลคาโพน (อาชญากรน่าเกรงขามสมัย 95 ปีก่อน)

      ส่วนบุคคลหน้าไข่ มีอาทิ ไรอัน เรโนล์ส (นักแสดงนำฝ่ายชาย) รอน พอล (นักการเมืองโด่งดัง) และเฮนรี่ พอลซั่น (อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สหรัฐฯ) โกลแมน แซ็กส์ (อดีตประธานบริหารบรรษัทการเงิน) และจอนห์ เลนนอน (นักร้องนักแต่งเพลงวงเดอะบีเติลส์) เป็นต้น

      เมื่อสามปีก่อน นักวิจัยที่ริเวอร์เดลได้ทำการวิจัยความสหสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงใบหน้ากับความสำเร็จในงาน โดยดูที่รูปทรงใบหน้าของประธานบริหารกิจการใหญ่โตขนาดติดอันดับ 500 กิจการแรกที่นิตยสารฟอร์บส์จัดไว้ พบว่า ประธานฯ ผู้มีใบหน้ากลมมักเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการที่มีสถานะภาพการเงินมั่นคงแข็งแกร่งกว่าสถานะภาพการเงินในกิจการที่ประธานฯ ผู้มีใบหน้าไข่ควบคุมดูแลอยู่

      นอกจากนี้ กลุ่มนักวิจัยยังได้ชี้ให้เห็นผลงานดีเด่นของนักบริหารใบหน้ากลมเป็นรายบุคคล คือ นายเจฟ อิมเมลต์ ประธานบริหารบรรษัทจีอี ผู้กล้าย้อนกระแสความคิดของคณะทีมงาน โดยสั่งให้ปฏิรูปนโยบายกิจการ เพื่อตอบรับค่านิยมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืนของสังคม ยังผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ถือหุ้นในที่สุด

      นักบริหารใบหน้ากลมดีเด่นอีกคนหนึ่งได้แก่ นาย เฮอร์บ เคลลีเออร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตประธานบริหาร สายการบินเซาวท์เวสต์ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลรักษา สถานะภาพทางการเงินของกิจการให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงอยู่ด้ตลอดเวลา   

      ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาการจัดการ ดร.ไมเคิล ฮาเซลฮุน ที่ริเวอร์เดล วิจัยพบว่า ขนาดของใบหน้ากลมมีส่วนสหสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณของฮอร์โมน เพศชายในตัวผู้ชาย คือ ใบหน้ายิ่งออกทรงกลมมาก ก็ยิ่งมีฮอร์โมนดังกล่าวมาก และพบว่า ผู้ชายที่มีฮอร์โมนนี้มาก มักมีความรู้สึกต้องการใช้อำนาจครอบงำกิจการที่ตนทำงานอยู่มาก

      อย่างไรก็ตาม ใบหน้ากลมมิใช่กุญแจวิเศษสู่ความสำเร็จในเรื่องการเงินเสมอไป นักวิจัยพบด้วยว่า แม้ว่าคนหน้ากลมมีความห้าวหาญในการเจรจาต่อรองเชิงตัวต่อตัว แต่มีผลงานไม่มากเท่ากับคนหน้าไข่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องมีการร่วมมือประสานงานกันหรือการผ่อนปรนเข้าหากันกับผู้อื่น

      นักวิจัยที่ริเวอร์เดลพบด้วยว่า ผู้ชายหน้ากลมมักมีแนวโน้มสูงที่จะ “ใช้กลยุทธ์หลอกลวงฝ่ายตรงข้ามในระหว่างเจรจาต่อรอง” และ “ใช้กลยุทธ์คดโกงเพื่อเพิ่มพูนกำไรทางการเงิน”

      ดร.ฮาเซลฮุนชี้แนะว่า แม้จะเปลี่ยนรูปทรงใบหน้าไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ โดยเสริมว่า “ผู้มีใบหน้ากลมพึงตระหนักไว้ว่า ผู้อื่นอาจมองเห็นตนเป็นผู้ไม่ยอมใครง่ายๆ ดังนั้น จงพยายามสร้างบรรยากาศร่วมอกร่วมใจกันไว้ใน ขณะทำการเจรจาต่อรองกันอยู่ โดยเฉพาะในกรณีที่ตนต้องการให้ความร่วมมืออยู่ก่อนแล้ว

      ดร.ฮาเซลฮุนเตือนด้วยว่า “ผู้มีใบหน้าทรงไข่พึงตระหนักไว้ว่า ผู้อื่นอาจมองเห็นตนเป็นผู้ไร้น้ำยา ไร้น้ำหนัก ดังนั้น จงระวังอย่าเผลอตัวปล่อยให้คู่เจรจาลอบ เอาเปรียบได้ง่ายๆ”

      เมื่อปี 2556 นักวิจัยที่ริเวอร์เดลพบว่า เพื่อนร่วมงานมักรู้สึกว่า คนหน้ากลมนี่ไม่น่าไว้วางใจเลย และมักแสดงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวออกมามากผิดปกติ ในขณะที่ตนปฏิสัมพันธ์กับคนหน้ากลม

      นักวิจัยเปิดเผยไว้กับฮัฟฟิ่งตันโพสต์ไว้ว่า ผลวิจัยเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับผู้หญิงเลย และมีข้อสังเกตด้วยว่า ผู้ชายหน้ากลมมักมีพฤติกรรมแบบ “ด้านได้-อายอด” ทำให้สามารถมีทายาทและบรรลุเป้าประสงค์ได้ง่ายกว่าชายหน้าไม่กลม และได้เปรียบกว่าชายอื่นในด้านการวิวัฒนาการทางพันธุกรรม โดยเฉพาะในเรื่องแข่งขันช่วงชิงทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เพื่อความอยู่รอดของตนกับทายาท

      สรุปแล้ว ตำราโหงวเฮ้งใบหน้าฝรั่งนั้น เขาให้สังเกตดูที่รูปทรงใบหน้า ตามผลผลวิจัยดังกล่้าว ซึ่งเป็นเพียงดรรชนีชี้แนะ “แนวโน้ม” ของพฤติกรรมบริหารใน “กิจการค้ากำไร” เท่านั้น
     
       ธรรมชาติได้สร้างใบหน้าดีๆมาให้แล้ว เราจึงไม่ควรไป “หาเหาใส่หัว” จ้างผู้อื่นทำการยืดหดแก้มสองข้าง แพทย์อาจตัดคางให้สั้นขึ้นไปได้นิด และร่นคิ้วทั้งคู่ลงมาได้หน่อย แค่พอไม่ให้ปิดนัยตาจนมืดมิดมองไม่เห็น ขอเพียงอย่าให้ใบหน้าใหม่ออกมาคล้ายมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์เรื่องอีทีก็แล้วกัน

      ส่วนฮอร์โมนเพศชายนั้น หากผู้ใดคิดจะอัดฉีดเพิ่มเติม เพื่อให้มีผลงานน่าตื่นเต้นแบบนักบริหารหน้ากลม ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะฮอร์โมนนี้มีข้อดี ข้อเสีย ข้อเสี่ยง ตลอดจนข้อข้างเคียงอันอาจไม่พึงปรารถนาอยู่มากมาย เช่น การมีลูกดก เป็นต้น

      การทำกำไรให้ได้เงินมากที่สุดเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่สำคัญที่สุด เพราะ “วัตถุเงินทองนิยม” รังแต่จะหล่อเลี้ยงอัตตากับกิเลส ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความปั่นป่วนในสังคม ตลอดจนนรกบนดิน

      ที่สำคัญกว่าก็คือการมี “จิตนิยม” ที่รู้จักผ่อนสั้น ผ่อนยาว ร่วมมือบ้าง แข่งขันบ้าง ให้บ้าง รับบ้าง ไม่มุ่งหวัีงรับประโยชน์แต่ลูกเดียว ตลอดจนมีความ รู้สึกซาบซึ้งใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในสิ่งดีงามที่เขาทำอยู่ รวมทั้งคู่แข่งที่ทำให้เราได้พัฒนาตัวเองจนเก่งกาจยิ่งขึ้น

      เมื่อเจรจาต่อรองกันด้วยทัศนะคติดังกล่าวแล้ว ทุกรูปทรงใบหน้าก็จะสามารถกำชัยชนะได้ด้วยกันหมด ไม่มีใครพ่ายแพ้ต่อโลภโกรธหลงเลย

      ดังนี้คือการสวมใบหน้าที่ไม่กลมไม่ไข่ ส่งผลให้สามารถนำความอยู่รอดและเจริญสุขมาสู่ตัวเอง ส่วนรวม และมนุษยชาติ.


แชมป์มุสา
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com

        ในบรรดาศีลห้าทั้งหมด ผู้ละเมิดศีลข้อสี่ “มุสาวาทา เวรมณี” ด้วยเจตนาหลอกลวงให้ผู้รับรู้คำมุสาเสีย ประโยชน์ คือผู้ที่ทำให้ผู้รับรู้นั้น “ตายทั้งเป็น” ไม่สามารถ รับรู้ความเป็นจริง ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่

       ส่วนผู้ใดละเมิดศีลข้อใดหรือไม่ นั้น เรามี “องค์ของศีล” ซึ่งประกอบด้วยบันทัดฐานสำหรับสอบ วัดการละเมิดศีลแต่ละข้อ เมื่อผู้ใดละเมิดบันทัดฐาน  ทุกข้อของศีลข้อใด ผู้นั้นก็ได้ทำให้ศีลข้อนั้นขาด

      “องค์ของศีล” สำหรับศีลข้อสี่่มีบันทัดฐานอยู่สี่ข้อ คือ มี 1)เรื่องไม่จริง 2)จิตคิดกล่าวให้ผิด 3)การพยายามกล่าวให้ผิด 4)การให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้น

      ในเรื่องเก่าเล่าใหม่ต่อไปนี้ เดิมเล่าโดย ชาร์ลส ดาวน์นิ่ง บรรดาเซียนผู้กล่าวมุสาได้ทำให้ศีลข้อสี่ขาด หรือไม่ ก็ขอเชิญวินิจฉัยด้วยวิจารณญาณ

      กาลครั้งหนึ่งในแว่นแคว้นอาร์เมเนีย พระราชาผู้ ครองราชย์ทรงมีพระราชดำริให้จัดกิจกรรมแปลก ใหม่ขึ้นในพระราชฐาน เพื่อทรงพระสำราญ

      พระราชาทรงมีพระบัญชาประกาศเชิญชวนประชาราษฎร์ ให้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่อง “โกหกพกลม” โดยมีกติกาง่ายๆว่า ผู้ใดที่พระองค์ทรงหลงเชื่อเรื่อง มุสาว่าเป็นความจริง และทรงชมว่าพูดโกหกได้เก่ง จริง ผู้นั้นจะไ้ด้รับพระราชทานพระสุวรรณแอปเปิลที่ ทำด้วยทองคำแท้ล้วนๆงามแวววับยิ่งของพระองค์

      มิช้านาน พสกนิกรจากทุกมุมเมืองทุกหมู่บ้าน เจ้าชายมากมีจากแคว้นข้างเคียง ชาวนา นักบวช ผู้มีฐานะมั่งมีลงไปถึงฐานะุมีมั่งไม่มีมั่ง ตลอดจนผู้ มีรูปร่างสูงเตี้ย อ้วนผอม ดำขาว ผมดกผมแล้ง ผมมีเหาผมไม่มีเหา ฯลฯ ต่างมุ่งหน้าสู่พระราชฐาน เพื่อช่วงชิงพระสุวรรณแอปเปิลใบงามยิ่งนั้น

      ในที่สุด วันแข่งขันชิงตำแหน่ง “แชมป์มุึสา” ไม่จำกัดรุ่นก็มาถึง ผู้แข่งขันทั้งหมดไม่มีใครตกอยู่ ในสภาพ “ใจสู้แต่ขาสั่น” แม้แต่น้อย ต่างผลัดกันขึ้น เวที แสดงโวหารโกหกพกลมด้วยความมั่นใจยิ่ง ต่างเชื่อมั่นนักหนาว่า ตนคือ “นักปั้นน้ำเป็นตัว” ระดับ ไร้เทียมทาน

      อันที่จริง พระราชาทรงสดับเรื่องโกหกพกลม ในทุกรูปแบบและสีสันมาแล้วนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ บรรดาเซียนโกหกที่ผลัดกันขึ้นเวทีทูลเรื่องมุสา ทั้งปวง จึงไม่สามารถดลพระทัยให้พระองค์โปรด  แย้มพระโอษฐ์ หรือทรงพระสรวลแม้แต่น้อย ในที่สุด พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้สิ้นสุดการแข่งขันลง กลางคัน ด้วยไม่ปรากฏมีผู้ใดที่พูดโกหกได้เก่งจริง

      ในบัดดล ยาจกชายชราผอมโซคนหนึ่ง ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าปอนๆขาดกะรุ่งกะริ่ง แขนทั้งสองมีแต่หนังหุ้มกระดูก โอบอุ้มโถน้ำดินเผาสูงราวศอกเก่าๆใบหนึ่ง เดินกระย่องกระแย่งนำร่างอิดโรยขึ้นเวที วางโถน้ำลงบนพื้น แล้วคุกเข่าถวายบังคมพระราชา

      “สูเจ้าต้องการอะไร?” พระองค์ทรงมีพระราช ดำรัสถามขึ้นทันที

      “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ใต้ฝ่าละอองธุัลีพระบาททรงติดหนี้ทองคำหนึ่งหม้อไหไว้กับข้าพระพุทธเจ้านานมาแล้ว… จึงมาขอกราบ บังคมทูลพระกรุณา พระราชทานหนี้ทองคำนั้นคืน แก่ข้าฯด้วย พระพุทธเจ้าข้า” ยาจกทูลตอบดังฟัง ชัดถ้อยชัดคำ แม้จะไมมีฟันหน้าเหลืออยู่เลย

      “เหลวไหล สูเจ้านี่่ช่างพูดโกหกได้เก่งจริง ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ทองคำใครเลย” พระองค์ทรง มีพระราชดำรัสสวนกลับทันควัน
     
      “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าพูดโกหกได้เก่งจริง เชียวหรือ พระพุทธเจ้าข้า? ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ขอ พระราชทานพระสุวรรณแอปเปิลใบนั้นแก่ข้าฯด้วย ในฐานะที่ชนะเลิศแข่งขันพูดโกหกพกลมวันนี้ พระพุทธเจ้าข้า” ยาจกทูลตอบด้วยไหวพริบแหลมคม ในขณะที่รู้สึกเสียวคอขาดนิดๆ

      พระราชาทรงตระหนักทันทีว่า ยาจกกำลังใช้ เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายมิชอบ จึงทรงมีพระราชดำรัสถาม
กลับไปว่า

     “สูเจ้าพูดโกหกแล้ว…หรือนี่?”

      “ขอเดชะ พระราชอาญามิพ้นเกล้า ถ้าข้าพระ พุทธเจ้ายังไม่ได้พูดโกหก ข้าฯก็ขอกราบทูลใต้ฝ่า ละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานหนี้ทองคำหนึ่งหม้อไหนั้นคืนให้กับข้าฯ ด้วย พระพุทธเจ้าข้า” ยาจกทูลทวงหนี้อีกทันที พลางกัดฟันยอมเสี่ยงคอขาดต่ออีกหน่อย

      ในที่สุด พระราชาก็พระราชทานตำแหน่ง “แชมป์มุสา” พร้อมทั้งพระสุวรรณแอปเปิลให้ยาจก ทันที

      นักการเมืองไทยผู้นิยมการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สั่งเข้ามาจากต่างประเทศ นั้น มีอยู่จำนวน หนึ่งที่เป็น “่นักปั้นน้ำเป็นตัว” ไร้เทียมทาน นิยมให้ คำมั่นสัญญาเท็จต่อปวงชน เช่น สัญญาว่าจะบริหาร ชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรม เป็นต้น เพื่อจูงใจให้หย่อนบัตรเลือกตั้งให้ตน

       ทว่า เมื่อชนะเลือกตั้งแล้ว นักการเมืองสามานย์ ยอดมุสาเหล่่านี้ ก็เริ่มสุมหัวกันโกงกินขายชาติอย่าง มโหฬาร และใช้อำนาจเถื่อนทำนุบำรุงเฉพาะพื้นที่ ที่ตนได้ปลูกฝังนโยบายประชานิยมของตนไว้

       นักการเมืองสามานย์เหล่านี้จึงได้ล่วงละเมิด บันทัดฐานครบทั้งสี่ข้อใน “องค์ของศีล” สำหรับศีลข้อ ห้ามมุสาวาทา คือ ได้ทำศีลข้อสี่ขาดอย่างชัดเจน

      ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองชั่วเหล่านี้ ก็คือคนไร้ “สัจจะ” ที่เป็น “ธรรมอันเอก” อยู่ในใจ และย่อมพร้อม ที่จะทำบาปกรรมทุกอย่างได้หมด ไม่ว่าจะเผาบ้านเผา เมือง โกงกินขายชาติ ซื้อขายตำแหน่งงานราชการ เป็นเข่งๆ หรือซื้อชีวิตคู่ต่อสู้ราวกับผักปลา
     
      ในขณะเดียวกัน “กฎแห่งธรรมชาติ” ในจักรวาล อันทรง “ความสมดุล” ก็จักทำหน้าที่ลงโทษผู้ทำบาป กรรมดังกล่าวโดยปริยาย โดยก่อให้เกิด “ความรู้สำนึกผิด” ในใจลึกๆลงไปว่า ตนได้ละเมิด “ความรู้สำนึกในศีลธรรม” ที่ธรรมชาติได้บันทึกไว้ ในรหัสพันธุกรรม ซึ่งนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยค้นพบแล้ว

      “ความรู้สำนึกผิด” นี้ มีชีวิตชีวาอยู่ในเรือนร่างที่ยังหายใจอยู่ โดยมีลักษณะเป็น ความทรงจำที่เกาะติดอยู่ในเนื้อเซล์ลของร่างกาย” ซึ่งมีพลังงานส่งคลื่นความถี่เชิงลบ” ออกมา้้เป็นอารมณ์กลัว โกรธ วิตกกังวล แค้นเคือง ขมขื่น ต่ำต้อย เศร้าสลด โศรกซึม ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นดอกผลของ “ความรู้สำนึกผิด” ทั้งหลายที่สะสมหมกหมักอยู่ในจิตใต้สำนึกติดต่อกัน มาช้านาน

       สมาคมแพทยศาสตร์แผนโฮมีโอพธีย์ สหรัฐฯ ซึ่งอาศัยกลไกธรรมชาติเยียวยาโรค เตือนไว้ว่า คลื่นความถี่เชิงลบนี้บ่อนทำลายภูมิต้านทานในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยและเป็นโรคมะเร็งคุกคามชีวิตได้โดยมิรู้ตัว

      ตามนัยเรื่องเก่าเล่าใหม่นี้ บรรดาผู้เข้าแข่งขัน กล่าวมุสามิได้ทำศีลข้อสี่ขาด เพราะไม่ได้ละเมิด “องค์ของศีล” ข้อที่สี่ คือ ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น (พระราชา) หลงเชื่อคำมุสา แต่ก็ทำให้จิตใจของผู้กล่าวมุสาเองเศร้าหมองได้


      ส่วนนักการเมืองสามานย์ที่ขยันโง่ใช้มุสาวาทา หลอกลวงหากินกับปวงชน นั้น ได้ล่วงละเมิดศีลข้อสี่ นี้อย่างแน่นอน แถมได้ทำบาปกรรมดังกล่าวมาแล้ว จึงน่าจะเตรียมตัวรับ “ผลกรรมชั่ว” ของตนตาม “กฎแห่งธรรมชาติ” ไม่ช้าก็เร็ว ดังตัวอย่างที่มีให้เห็น ตำตาอยู่หลายราย เพราะยังไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น จาก “กฎแห่งกรรม” เลย.

No comments:

Post a Comment