เคล็ดลับมองโลก
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
อาจารย์จวงจื้อ
(พ.ศ. 174-257) เป็นปราชญ์แห่งลัทธิเต๋าที่ปรมาจารย์เล่าจื้อได้วางรากฐานไว้
คัมภีร์ “เต๋าเต็กเก็ง” อมตะของท่านเล่าจื้อมีสาระที่คู่ขนานกับพระธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างน่าพิศวงยิ่ง
ท่านจวงจื้อจึงมี “เคล็ดลับ” ในการมองโลกที่น่าสนใจทีเดียว
วันหนึ่ง ขณะเดินทางผ่านป่าละเมาะ ท่านจวงจื้อกับกลุ่มลูกศิษย์พบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ยืนโดดเดี่ยวแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นบริเวณกว้างอยู่กลางทุ่ง แต่มีลำต้น กิ่งก้านคดงอบิดเบี้ยวเป็นท่อนสั้นๆตลอดทั้งต้น
“ดูซิ
ต้นคดงอไร้ประโยชน์ เนื้อไม้ไม่ตรงยาวพอที่จะเอาไปสร้างบ้านทำเตียงโต๊ะเก้าอี้ได้ ชาวบ้านจึงไม่ตัดโค่น” ท่านจวงจื้อชี้ให้เห็นเหตุผลอยู่รอดของต้นไม้นี้ แล้วนำลูกศิษย์ไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าแก่คนหนึ่งในหมู่บ้าน
หลังจากที่ได้ทักทายอาคันตุกะด้วยความตื่นเต้นยินดียิ่ง
เพื่อนก็สั่งลูกชายคนโตให้หุงหาอาหารต้อนรับขับสู้คณะผู้มาเยือนทันที
“พ่อ..มีห่านอยู่สองตัว
ตัวหนึ่งทำเสียงร้องได้ อีกตัวร้องไม่ได้ พ่อให้เอาห่านตัวไหนทำกับข้าวดีฮะ?”
“เอาห่านที่ร้องไม่ได้ซิลูก
เืมื่อร้องไม่ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ได้ขบคิดเหตุการณ์เกี่ยวกับต้นไม้และห่าน บรรดาลูกศิษย์ก็ขอหารือกับท่านจวงจื้อ
“ท่านอาจารย์ที่เคารพ
ต้นไม้คดงอไร้ประโยชน์ จึงอยู่รอด ส่วนห่านร้องไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ กลับไม่อยู่รอด
ท่านมีจุดยืนประการใดต่อ ‘มีประโยชน์’ กับ ‘ไร้ประโยชน์’ ขอรับ?”
“ต้นคดงอใช้ทำอะไรไม่ได้มากไร้ประโยชน์ก็จริง
แต่มีใบไม้แผ่กระจายร่มเงาให้ผู้คนได้รับประโยชน์พักร้อนจากแสงแดดแรงกล้า ห่านร้องไม่ได้ไร้ประโยชน์ก็จริง
แต่มีประโยชน์เป็นอาหารดับความหิวโหยได้ ต้นไม้ก็ดี ห่านก็ดี ต่างมีส่วน ‘มีประโยชน์’
กับ ‘ไร้ประโยชน์’ เป็นคู่ๆอยู่ในตัวเอง…”
ท่านจวงจื้อตอบโดยละเอียด พลางชี้ให้เห็น “ข้อผิดพลาด”
ที่พบบ่อยในการมองโลกว่า
“…แต่เรากลับหลง
‘เลือก’ มองเฉพาะส่วนหนึ่งใดในธรรมชาติเท่านั้น”
ทั้งนี้ เพราะเราเลือกมองด้วย “ใจลำเอียง”
ชอบหรือไม่ชอบส่วนหนึ่งใดในต้นไม้หรือห่านนั้น แล้วตีราคาประเมินคุณค่าให้กับสิ่งนั้นๆ
ใจลำเอียงคือ “ใจยึดติด” ที่เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม
ตลอดจนการโกงกินขายชาติบ้านเมือง
ท่านจวงจื้อเผยเคล็ดลับมองโลกข้อแรกไว้ว่า
“จงมองอย่างพญามังกรซิ เดี๋ยวแปลงตัวเป็นงูเล็กเลื้อยอยู่บนดิน
เดี๋ยวเป็นมังกรยักษ์กางปีกกว้างใหญ่สง่างามบินขึ้นท้องฟ้าหายเข้ากลีบเมฆไป”
พญามังกรมองโลกอย่างไร?
เรามาทำความเข้าใจกับธรรมชาติตามลัทธิเต๋าสักเล็กน้อยก่อน
ตามปกติ เรามองเห็นธรรมชาติในลักษณะที่มีภาวะตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ:เกิด-ตาย จิต-กาย ตน-ผู้อื่น ฟ้า-ดิน หัว-ก้อย หญิง-ชาย หยิง-หยาง มิตร-ศัตรู รัก-เกลียด สุข-ทุกข์ นิพพาน-วัฏสงสาร ธรรม-อธรรม
ฯลฯ โดยมองเห็นได้ในสองระดับ: รูปธรรมและนามธรรม
ในระดับรูปธรรม เรา “หลงผิด” มองเห็นแต่ละคู่เป็น
“ตัวตน” ที่ตายตัวถาวรชั่วนิรันดร ไม่สัมพันธ์กัน
โดยเป็นเอกเทศต่อกัน คือ มี “เกิด” โดยไม่มี
“ตาย” มี “จิต”
โดยไม่มี “กาย” ได้ ซึ่งขัดกับความเป็นจริงในธรรมชาติ
และมองเห็นอาทิ “ตน-ผู้อื่น ” เป็นข้าง “ซ้าย-ขวา” ของคู่ถุงมือ นี่คือการมองโลกตาม “คติทวินิยม”
ในขณะมองดู “น้ำ-ดิน” ด้วยคติทวินิยม เราจะเห็น “น้ำบาดาล” เป็นตัวตนที่มีอยู่ชั่วนิรันดรและไม่สัมพันธ์กับอะไรทั้งสิ้น ทุนนิยมก็พากันสูบขึ้นมาขายด้วย
“ต้นทุนต่ำ-กำไรงาม” ผลกระทบก็คือแผ่นดินกรุงเทพมหานครกำลังทรุดต่ำลงราว 1.5 นิ้วต่อปี และหน่วยราชการสำคัญๆจะถูกน้ำ่ท่วมอย่างถาวรอีกไม่นานเกินรอ
ภาวะทั้งหลายในธรรมชาติสัมพันธ์กันหมด ไม่มีอะไรอยู่อย่างเอกเทศ
วันหนึ่ง เมื่อพลังความร้อนของดวงอาทิตย์เกิดลดลงมากเกินไปด้วยชราภาพ หรือเมื่อดาวพระเคราะห์จูปิเตอร์ยักษ์เกิดหลุดออกจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์
สุริยะจักรวาลที่ “เป็นอยู่” ของเรา ก็จะสูญเสีย “ความสมดุล” เข้าสู่วาระอวสาน ทั้งนี้ ตามสัจธรรมอนิจจัง
เมื่อหลงมอง
“ตน-ผู้อื่น” แล้วหลงตนมากกว่าผู้อื่น
เราจะยึดติดตนมากกว่าผู้อื่น เมื่อหลงผู้อื่นมากกว่า เราจะยึดติดผู้อื่นมากกว่า และเมื่อหลงไม่มากไม่น้อยกว่ากัน
เราจะยึดติดตนผู้อื่นพอๆกัน ตกอยู่ในภาวะ “ทวิบท” ปั่นป่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ส่วนในระดับนามธรรม เรามองเห็นคู่ อาทิ “หัว-ก้อย” เป็น “ชุด” ที่ไม่เป็นเอกเทศต่อกัน คือ แยกออกจากกันไม่ได้ของเหรียญ “เรือ-พาย” เป็นชุดฯอุปกรณ์เดินทาง
“คนอยู่ปลายกระดาน” เป็นชุดฯกระดานหก “ตน-ผู้อื่น” เป็นชุดฯผู้คน
“มีประโยชน์-ไร้ประโยชน์” เป็นชุดฯต้นไม้หรือตัวห่าน และ “กลางวัน-กลางคืน” เป็นชุดฯ 24 ชั่้วโมง
แต่ละส่วนของแต่ละชุดฯ ต่างอาศัยพลังงานจากธรรมชาติ “บูรณาการเข้าด้วยกัน”
เป็นชุดฯของตัวเอง มิฉะนั้น โลกจะไม่มีธรรมชาติเหล่านี้
เมื่อบูรณาการแล้ว แต่ละส่วนของชุดฯต่าง “สัมพันธ์กัน”
ให้ “เป็นอยู่” ใน “ความสมดุล” ทรง “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน”
เป็น “จิตหนึ่ง” จนกว่าจะแตก
ดับไปตาม “กฎแห่งธรรมชาติ” ทั้งนี้ เป็นการมองโลกตาม
“คติเอกนิยม”
ในชุดฯ “ตน-ผู้อื่น” ผู้มีเมตตาจิตต่อตัวเอง ย่อมมีเมตตาจิตต่อผู้อื่น ผู้มองเห็นความทุกข์ของเด็กทารกพิการแล้ว
ย่อมรู้สึกเป็นทุกข์ด้วย ไม่มากก็น้อย เราจึงไม่มีตน ไม่มีผู้อื่น
ไม่มีพวกเขา ไม่มีพวกเรา เพราะเราต่างเชื่อมโยงถึงกันและไม่ได้เป็นเอกเทศต่อกัน
ที่ว่า “เราได้เพราะเขาให้” นั้น
จริงๆแล้ว “เขา” ได้จากใครมาก่อน?
เมื่อเสกขึ้นมาเองไม่ได้ เขาก็ย่อมต้องได้มาจาก “ผู้อื่น” ดังนั้น “เขา-ผู้อื่น” ก็คือคู่ที่ “บูรณาการเข้าด้วยกัน”
“สัมพันธ์กัน” “เป็นอยู่” ด้วย “ความเป็นหนึ่งเดียว กัน”
อย่างแยกกันไม่ออก ในทำนองเดียวกับ “เขา-เรา” ฉะนั้น เราได้เพราะ “เรา” ให้ต่างหาก
การแปลงตัวให้อยู่ได้ทั้งบนฟ้าและดิน นั้น แสดงว่าพญามังกรมองเห็น
“ฟ้า-ดิน” เป็นคู่ที่ “บูรณาการเข้าด้วยกัน” และ “สัมพันธ์กัน” ให้
“เป็นอยู่” ใน “ความสมดุล”
ตามธรรมชาติ คือ เห็น “ฟ้า-ดิน” เป็นบ้านหลังเดียวตามคติเอกนิยม ไม่เห็นเป็นสองหลังแยกกันอยู่ตามคติทวินิยม
เคล็ดลับมองโลกข้อสองของท่านจวงจื้อคือ เราพึุง “ตื่นรู้” ไว้เสมอ ให้ระมัดระวังไม่ละเมิดขอบเขตของผู้หลงอยู่กับคติทวินิยม เพื่อจะได้
“รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” จากผู้หลงยึดติด
“ตน” (แม่มดจอมอิจฉาริษยาในนิทานอมตะเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระเจ็ดคน) และจากผู้หลงยึดติด “ผู้อื่น” ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา (กลุ่มการเมือง) โดยฝากคำเตือนใจอมตะไว้ว่า
“อย่าทำตนเป็นคนมีประโยชน์ดีเด่นเกินไปจนผู้อื่่นรู้สึกอิจฉาริษยาหมายปองร้าย
และอย่าทำตนเป็นคนไร้ประโยชน์สิ้นดี จนผู้อื่นรู้สึกเกลียดชังหมายกำจัด”
ตามคติทวินิยม เมื่อหลงยึดติดอยู่กับ
“เกิด” “ชีวิต” “วัตถุ”
หรือ “เงินทอง” เราจะบังเกิด
“ความกลัวตาย” เพราะไม่ต้องการพลัดพรากจากชีวิตและสรรพสิ่งนอกกาย
ซึ่งกลายเป็น “หน้าตาทั้งหมด” ของเรา ยิ่งหลงมากก็ยิ่งกลัวตายมาก
ทหารค่ายคติทวินิยมยอมพ่ายแพ้ต่อความกลัวตายของตนก่อนออกศึกสู้รบกับศัตรูด้วยซ้ำไป
ชีวิตที่โกงกินขายชาติบ้านเมือง คือชีวิตที่หลง “โกงกินตัวเอง”
โดยยึดติดวัตถุเงินทองอำนาจอย่างไม่รู้จักอิ่มพอ และมุ่งหวังให้สิ่งนอกกายล้นฟ้าท้ามหาสมุทรที่ตนได้ฉกฉวยขโมยขโจรมาได้เหล่านี้
มีอำนาจเนรมิตรตนให้เป็นอมตะบุคคลตลอดไป เพื่อจะได้ไม่กลัวตาย นับเป็นโรคจิตผิด
“กฎแห่งธรรมชาติ” ที่ทำให้คนโกงตัวเองนี้ ไม่สามาถทำคุณประโยชน์แท้จริงต่อตนเองหรือสังคมส่วนรวมเลย
ชีวิตตามคติเอกนิยมไม่ “ครอบครอง” ธรรมชาติ แต่เป็นชีวิตที่ “เป็นอยู่” “สัมพันธ์” “เชื่อมโยง”
กับธรรมชาติ เครื่องอ่านคลื่นสมองเอฟเอ็มอาร์ไอได้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถสื่อสารกันโดยเพียงแต่ส่งกระแสจิตถึงกัน
ขณะที่ทฤษฎีเกี่ยวกับแควนตั้มทำให้เราเข้าใจเหตุผลที่บางคนสามารถมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพถ่ายอาคารที่ปิดมิดชิด
ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็น “ความเป็นหนึ่งเดียว” หรือ “จิตหนึ่ง” ในธรรมชาติ
สรุป ท่านจวงจื้อมิได้มีจุดยืนอยู่กับคติทวินิยม คือ
ไม่ได้มองแต่ละคู่ของธรรมชาติในสภาพตายตัวชั่วนิรันดร ไม่สัมพันธ์กัน โดยเป็นเอกเทศต่อกัน
และไม่เลือกมองด้วยอคติใจลำเอียงยึดติดแต่อย่างใด
ท่านจวงจื้อมีจุดยืนอยู่ที่คติเอกนิยม ท่านมีเคล็ดลับให้มองโลกเยี่ยงพญามังกร
โดยเห็นธรรมชาติเป็นคู่ๆที่บูรณาการเป็นหนึ่งเดียวกันบนความสมดุล คือ มี
“จิตหนึ่ง” และท่านให้มองด้วย “จิตตื่นรู้” ที่ไม่ละเมิดขอบเขตของผู้หลงอยู่กับคติทวินิยม
ทั้งนี้ เพื่อชีวิตจักได้ดำเนินไปอย่างกลมกลืนกับ “เส้นทางชีวิตและคุณธรรม”
แห่งลัทธิเต๋า.
No comments:
Post a Comment