Sunday, April 4, 2010

ยุบสภาหรือไม่ยุบสภาดี?

ขณะนี้ไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ได้รับการตอบสนอง คงจะสรุปว่าเป็นสิ่งที่วางอยู่ไม่ได้ เพราะว่าข้อเสนอนั้นทำให้เกิดความสงบของบ้านเมือง เมื่อกลุ่มที่ยังมีปัญหาไม่ยอมรับ และบอกว่าจะไม่ทำให้มันสงบ ก็เกิดปัญหาความรุนแรงหรือร้อนแรงในบรรยากาศทางการเมือง ผมก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม



นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังเหน็ดเหนื่อยที่สุดกับภาระกิจ ภาพ รบ.ไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปในสถานะภาพล่าสุดของ “การเจรจา” ระหว่างแกนนำกลุ่มเสื้อแดงกับผู้ำแทนรัฐบาล ในประเด็น “การยุบสภา” ครั้งที่สอง เมื่อวัีนที่ 29 มีนาคม 2553 ทั้งนี้ ตามรายงานของไทยโพสต์

กลุ่มเสื้อแดงเริ่มการชุมนุมเมื่อ 14 มีึค. 53 แต่แกนนำยอมเริ่มเจรจาบนโต๊ะครั้งแรกเมื่อ 28 มีค. 53 ณ วันนี้ (31 มีค. 53) การเจรจาหยุดชงัก เพราะแกนนำต้องการให้ยุบใน 15 วัน และยืนกรานไม่รับข้อเสนอของรัฐบาลที่จะยุบในเวลา 9 เดือน ทั้งๆที่รัฐบาลมีวาระโดยชอบเหลืออยู่ 1 ปี 9 เดือน แต่ก็ยินยอมยุบ เพื่อแสดงสปิตริตที่จะรอมชอมกับ “พรรคร่วม” และนำความสงบคืนสู่บ้านเมือง


เจรจายุบสภารอบสอง ภาพ ไทยโพสต์

หากแกนนำยังไม่กลับไปเจรจาภายในกำหนดที่คู่เจรจาจะได้ชี้ชัดต่้อไป รัฐบาลมีสิทธิ์โดยชอบด้วยหลักการเหตุผลทั้งปวงที่จะถอนข้อเสนอ 9 เดือนออกทันที เพราะนายกฯอภิสิทธิ์เตือนแล้วว่า “เป็นสิ่งที่วางอยู่ไม่ได้” นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร ผู้บัญชาการสูงสุดของการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ก็ต้องเลือกเอาระหว่าง “กำขี้หรือกำตด”

ความจริงมีอยู่ว่า นายใหญ่คือผู้ที่ได้เริ่ม “การเจรจา” กับรัฐบาลก่อนกลุ่มเสื้อแดงเริ่มชุมนุมกันเสียอีก เพราะการเจรจา่ไม่จำต้องทำกันบนโต๊ะหรือใช้ถ้อยคำกันล้วนๆ โดยอาจใช้ “ความรุนแรง” นอกโต๊ะ อย่าง “ระเบิดรายวัน” ประกอบด้วยได้เสมอ

เมื่อ 26 กพ. 53 นายใหญ่ได้รับคำพิพากษาศาลฎีกาให้รัฐยึดเงินสี่หมื่นหกพันล้านบาทของตนให้ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมา ตลอดคืนวันรุ่งขึ้น ก็มีคนร้ายขว้างปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ 4 แห่ง คือ สาขาสีลม-พระรามสอง-พระประแดง-ศรีนครินทร์ ก่อให้เกิดความสยองขวัญในพนักงานธนาคารและความเสียหายต่อทรัพย์สินธนาคารอย่างหนัก ราวกับเป็นการฝากข้อความไว้กับชาติบ้านเมืองว่า “ทีแก ข้าฯไม่ว่า ทีข้าฯ แกอย่่าโวย” “นี่้เป็นเพียงหนังตัวอย่างเท่านั้น” และ “ยอมข้าฯเสียดีๆ


นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร ผบ.ชุมนุมเสื้อแดง กำลังอยู่ในสภาพน่าเวทนาที่สุด ภาพ ไทยทาวน์


ทำไมนายใหญ่จึงรอคอยการยุบสภาอีกเพียง 8.5 เดือนไม่ได้?

เพราะคำิพิพากษาดังกล่าวมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า นายใหญ่กับพวกยังได้กระทำความผิดทางแพ่งและ/หรืออาญาอีกหลายกระทง ซึ่งกระบวนการยุติธรรมจักต้องทำหน้าที่สะสางข้อมูลความผิดเหล่้านี้ต่อไป กล่าวคือ นายใหญ่กำลังนั่งทับ “ระเบิดเวลา” อยู่อีกหลายลูก พร้อมที่จะระเบิดหยิบยื่นความผิดตามกฎหมายให้ตนได้อีกไม่นานเกินรอ ตนจึงตกอยู่ในสภาพเสมือน “สุนัขจนตรอก” ที่ได้ไปเ่ที่ยวกัดใครต่อใีครมา แล้วถูกไล่ต้อนมาติดมุม กำลังแสดงอาการแยกเขี้ยวตามสัญชาติญาณเอาตัวรอด

มิน่าเล่า แกนนำเสื้อแดงจึงได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาล โดยให้ยุบสภาทันทีหรือภายใน 15 วัน ด้วยข้ออ้างเก่าเก็บไร้สาระเกี่ยวกับอำมาตย์ อำมาตยาธิปไตย ตลอดจนชนชั้นไพร่ เพราะนายใหญ่ประกาศไว้ว่า “อำมาตย์อายุ 80 กว่า” คือผู้ก่อให้เกิดรัฐประหาร ซึ่งทำให้ตนมีสถานะภาพเป็นอภิพญามหาเศรษฐีคนเีดียวในโลกที่ต้องเร่ร่อนไร้บ้าน (involuntary homeless billionaire) อยู่ทุกวันนี้

การกล่าวหาอำมาตย์ คือการย้อนยุคคืนสู่ “อดีตกาล” โดยพยายามเข้าไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ให้กลับเหมือนเดิมทุกประการ เสมือนคนที่พยายามผลักดันสายธารแห่งหนึ่ง ให้ม้วนตัวย้อนกลับไปสู่ต้นทางสองแพร่งแห่งหนึ่ง เพื่อให้สายธารไหลลงสู่อีกเส้นทางหนึ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าจะทำได้สำเร็จ น้ำในสายธารที่ไหลอยู่วันนี้ ก็ไม่ใช่น้ำเนื้อเดียวกับที่ได้ไหลผ่านไปแล้วในอดีต จึงแก้ไขอดีตให้เหมือนเดิมไม่ได้

ตรงกันข้าม เหตุการณ์ใน “อนาคตกาล” สร้างขึ้นมาใหม่ได้ อย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์แสดงวิสัยทัศน์ไว้ว่า ยินดีเจรจา เพราะต้องการทำให้ชาติบ้านเมืองมีความสงบต่อไป

ความเสียดายในเงินสี่หมื่นหกพันล้านบาทและความห่วงใยใน “ระเบิดเวลา” ดังกล่าว ส่งผลให้นายใหญ่สติแตก สั่งบงการสมุนทั้งหลายทั้งปวง ให้เปิดฉากบีบรัฐบาลให้ยุบสภาโดยด่วนที่สุด ไม่ด้วยเล่ห์ก็ด้วยกล

การยุบสภาคือช่องทางเดียวเท่านั้นที่จะเปิดโอกาสให้นายใหญ่มีโอกาสกลับไปเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพราะบรรดาสมุนทั้งปวงพร้อมที่จะใช้วิธีการอันมิใช่ประชาธิปไตยของนายใหญ่ ทำการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเลือกตั้งอย่างเทน้ำเทท่า ก่อตั้งรัฐบาล ซื้อส.ส.กับส.ว.เป็นเข่งๆ แ้ก้รัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายอภัยโทษนักการเมืองและนายใหญ่ โดยมุ่งหมายให้คนในชาติมีความสมานฉันท์รักกันปานจะกลืน เฉ่งบิลกับผู้บังอาจระคายเคืองตน ฯลฯ ทั้งนี้ เป็นการฉายหนังน้ำเน่าเก่าเก็บให้ประชาชนผู้มีวิบากกรรมได้ชื่นชมกันอีก

ส่วนคำกล่าวหาต่่างๆนานาของแกนนำกลุ่มเสื้อแดงที่ว่า รัฐบาลหาเรื่องเตะถ่วง เพื่อจะได้มีเวลาทำการโกงกินงบประมาณ นั้น มาจากจิตที่ปกป้องตนด้วยการโยนลักษณะชั่วร้ายของตนให้กับผู้อื่น (psychology of projection) ในทำนอง “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” และการพยายามตบตาประชาชน เพื่อซุกซ่อนเขี้ยวเล็บตนไว้อย่างแยลยล

แกนนำดังกล่าวกล้าถามตนเองไหมว่า ที่ชุมนุมกันกี่ครั้งกี่หนตลอดมานี่้ ได้รับรางวัลสินจ้างจากใครมาหรือไม่? ทำด้วยใจบริสุทธิ์และใช้เงินทองส่วนตัวทั้งสิ้นหรือไม่? จักต้องรับผิดชอบต่อความรุนแรงหรือระเบิดรายวันที่เกิดขึ้นควบคู่กับการชุมนุมหรือไม่? จะร่วมโกงกินกับนายใหญ่ต่อไปหรือไม่?

เมื่อถูกศาลฎีกาพิพากษาด้วยหลักฐานกับข้อกฎหมายที่รัดกุมหนักแน่นแล้วว่า เงินสี่หมื่นหกพันล้านบาทเป็นเงินมิชอบที่แสวงหามาในขณะเป็นนักการเมืองแล้ว นายใหญ่จะกลายเป็นองคุลีมาล มีศีลมีธรรมทันตาเห็น กระนั้นหรือ?

ดูเหมือนว่า นายใหญ่กับแกนนำมีความสามัคคีกันดี เพราะต่างมีคดีติดตัวด้วยกันทั้งนั้น คือนายใหญ่ิติดคดีสำคัญที่ดินรัชดาภิเษกและยึดทรัพย์ ส่วนสมุนติดคดีชุมนุมโชคเลือดเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว โดยต่างก็มีพันธกิจเดียวกัน คือ ก่อกวนจนกว่ารัฐจะเปลี่ยนฐานอำนาจบริหาร เพื่อตนจะได้มีโอกาสตั้งรัฐบาลชำระล้างบาปตน และเฉ่งบิลกับผู้บังอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองแก่ตนต่อไป

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสื้อแดง แดงสยาม และแดงฮาร์ดคอร์ ฯลฯ แม้จะเป็นสมุนของนายใหญ่ด้วยกัน ต่างก็ไม่สามัคคีกันเท่าใดนัก โดยต่างได้แสดงความรังเกียจเหยียดหยามกันอย่างโจ่งแจ้ง เพราะสมุนเหล่านี้ล้วนเป็นสาวก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” เช่นกันกับนายใหญ่

เมื่ออยู่ในลัทธิเดียวกัน ต่างก็น่าจะสามัคคีกัน ทว่า “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ชักนำสาวกเหล่านี้ให้นับถือ “เงินทองอำนาจ” เป็น "พระเจ้า" หวงแหนในเงินทองอำนาจตน นำเงินทองไปลงทุนซื้อหาตำแหน่งงานที่มีอำนาจในการแสวงหาเงินทองได้ มุ่งสร้างอาณาจักรส่วนตัว ซื้อหาปัจจัยทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ ราวกับเป็นไพร่หรือผักปลา ใส่หน้ากากหลอกลวงผู้คน ถือว่าศีลธรรมจริยธรรมเป็นเพียงอาภรณ์นุ่งห่มสวยๆงามๆ นับถือศาสนาด้วยปากกับมือหรือเรือนร่างเท่านั้น วัดค่าของคนที่จำนวนเงินทองในครอบครอง ไม่ว่าจะได้มาโดยสุจริตหรือไม่ ฯลฯ

วัฒนธรรมของลัทธิอุบาทว์ดังกล่าว ทำลาย “ความเป็นมนุษย์” โดยสิ้นเชิง สาวกลัทธิดดังกล่าวกลายเป็นคนไร้พรหมวิหารสี่ เมื่อขาด “มุทิตาจิต” “ความอิจฉาริษยา” ต่อสมุนอื่นก็เกิดขึ้นแทนที่ ต่างมี “ความเห็นแก่ตัว” เป็นล้นพ้น มีแต่ “ตัวกู-ของกู” ไม่มีใครก้มหัวให้ใคร ไม่มีใครเห็นแก่นายใหญ่ของตนอย่างจริงใจ มีแต่เห็นแก่ “เงินทองอำนาจส่วนตัว” เท่านั้น แล้วสมุนเหล่านี้จะสามัคคีกันได้อย่างไร? จะจงรักภักดีต่อนายใหญ่ได้อย่างไร?

จริงๆแล้ว ลักษณะของสาวก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ดังกล่าว มีอยู่ดาษดื่นในวงการนักการเมืองทุกสมัยและรัฐบาลทุกรัฐบาล ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนในผู้คนไม่น้อยบนแผ่นดินไทย สุดที่ใครคนเดียวอย่างนายกฯอภิสิทธิ์จะเยียวยาได้

ขณะนี้ื นายกฯอภิสิทธิ์คือผู้ที่กำลังอยู่ในสภาพที่ “เหน็ดเหนื่อยที่สุดกับภาระกิจ" จากพิษสงของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ส่วนนายใหญ่ทักษิณกำลังตกอยู่ในภาวะที่ “น่าเวทนาที่สุด” จากพิษสงของลัทธิอุบาทว์ดังกล่าวเช่นกัน

เมื่อบรรดาสมุนรับใช้ขาดความสามัคคีและไม่ได้จงรักภักดีต่อนายใหญ่ มีแต่คอยรับการอุปถัมภ์ด้วย “เงินทองกับอำนาจ” จากนายใหญ่ ตกอยู่ในสภาพอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ เป้าประสงค์ของนายใหญ่ก็ย่อมอ่อนปวกเปียกไปด้วย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลที่มี “พรรคร่วม” ก็อ่อนปวกเปียกเช่นกัน เป้าประสงค์ของนายกฯอภิสิทธิ์เองก็เป็นหมันไปเสียไม่น้อย ส่งผลให้ท่านไม่สามารถเสริมสร้างประโยชน์ให้กัิบชาติบ้านเมืองส่วนรวม ตามประสงค์อย่างเต็มที่

กล่าวกันว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น” แต่ความพยายามภายใต้วัฒนธรรมของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” เปรียบได้กับความพยายามของคนที่ตกอยู่ใน “บ่อเลนเหลวไร้ก้น” ยิ่งถีบดิ้นให้หลุดพ้น ก็ยิ่งถูกเลนเหลวดูดให้จมลงไปทุกที โดยยังไม่มีใครกล้าพอที่จะยื่นเชือกชูชีพ ซึ่งได้แก่ “ลัทธิสัตว์ประเสริฐ” หรือ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ให้คนในบ่อดังกล่าว ไ้ด้ใช้มือยึดเกาะให้ฉุดออกจากบ่อมรณะอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อให้หลุดออกจากภาวะ “ล่มจม” ลงไปเรื่อยๆ


ขอบฟ้าสีทองผ่องอำไพด้วยแสงแห่งธรรมาธิปไตยเมื่อย่ำรุ่ง ภาพ ธนรัตน์

ฉะนั้น ยุบสภาหรือไม่ เมื่อใด ไม่สำคัญ สำคัญที่ไทยจะเริ่มมีโอกาสก้าวเข้าสู่ “ลัีทธิสัตว์ประเสริฐ” “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ภายใต้ “ธรรมาธิปไตย” ได้เมื่อใด ณ วันนี้ ยังไม่มีผู้ใดกล้าออกมาตอบคำถามข้อนี้อย่างเด็ดเดี่ยว แล้วจัดการโยนประเด็นยุบสภาลงกระโถนไป และนำไทยเข้าสู่ขอบฟ้าใหม่ที่มีแต่ “สีทองผ่องอำไพ” จาก “ธรรมาธิปไตย”

น่าสงสารเมืองไทยแท้ๆที่ต้องตกเป็นเหยื่อของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ในลักษณะ “ใกล้เกลือกินด่าง” โดยมิรู้ตัวมาตลอด.

No comments:

Post a Comment