เขี้ยวเล็บลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
ก่อนอื่น ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียของกลุ่มเสื้อแดงและทหารหาญผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยปราศจากอาวุธพิฆาต ขอแสดงความเสียใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียชีวิต และขอภาวนาว่าเหตุการณ์อันน่าสลดใจยิ่ง เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 จะไม่เกิดขึ้นอีกในราชอาณาจักรไทย
ทันทีทีู่ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้รัฐยึดทรัพย์สี่หมื่นหกพันล้านบาท นายทักษิณ ชินวัตร ผู้บัญชาการสูงสุดของกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มย่อยอื่นๆที่แตกกิ่งออกมา ก็เริ่มงัด “แผนชุมนุมอุบาทว์” ออกมาทำร้ายประเทศไทย โดยมี “เป้าประสงค์” ล้มเจ้า ล้มอำมาตย์ ซึ่งนายทักษิณมองว่าเป็นผู้่ทำรัฐประหารให้ตนต้องหลุดออกจากตำแหน่งนายกฯ รวมทั้งล้มนายกฯอภิสิทธิ์ ด้วยมองว่าถูกอำมาตย์ตั้งขึ้นมาเป็นข้ารับใช้กลุ่มเจ้ากลุ่มอำมาตย์ มิใช่รับใช้กลุ่มประชาชน ทั้งนี้ เป็น “มายาคติทางการเมือง” ที่แพร่สพัดอยู่ในค่ายทักษิณ
เพราะเหตุใดนายทักษิณจึงมี “เป้าประสงค์” ดังกล่าว?
เพราะเป็นสาวกตัวฉกาจของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ซึ่งสอนให้ทุกคนใฝ่หาึความหมายของชีวิตด้วยการแสวงหาและบูชา “เงินทอง” แล้ว “อำนาจ” จะตามมา ถือว่าศีลธรรมจริยธรรมคือเีครื่องประดับกายสวยๆงามๆเท่านั้น เชื่อว่าใครยิ่งมี “เงินทอง” มาก ก็จะยิ่งมีสิทธิ์เป็น “พระเจ้า” ได้ก่อนคนอื่นๆ เพราะิเงินทองสามารถซื้อหาได้ทุกอย่างแม้กระทั่้งชีวิตมนุษย์ โดยมีวิถีชีวิตแบบ “ด้านได้อายอด” “ตัวกูำ-ของกู” “ตัวใครตัวมัน” ฯลฯ
ดร.อิริค ฟรอม์ม นักจิตวิเคราะห์ ภาพ สิสโกลริง
นักจิตวิเคราะห์อิริค ฟรอม์ม ผู้ได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาในบั้นปลายชีวิต ได้วินิจฉัยคนที่นิยมเงินทองในลักษณะด้งกล่าวไว้ว่า เป็น “โรคจิตวิปลาส” (neurosis) คือ มีสภาพจิตวิตกกังวล รู้สึกไม่มั่นคง กลัวอย่างไร้เหตุผล และรู้สึกโศกซึมเป็นอาจิณ น่าสลดใจไหมที่รวยแล้วกลับหายใจเข้าออกเป็นความทุกข์ ไร้ความสงบสุข
สาวกลัทธิอุบาทว์ดังกล่าวที่เป็นโรคจิตวิปลาสอย่างเดียว จะไม่ร้ายกาจเท่าีสาวกลัทธิเีดียวกันอีกคนหนึ่งที่มีบุคลิกภาพประเภท “ก้าวร้าวทำร้ายสังคม” (sociopath) ห่อหุ้มอยู่ด้วย
ดร.เฮนรี่ เอ เมอร์เรย์ นักจิตวิทยาผุ้ศึกษายุคลิกภาพของฮิตเบอร์ ภาพ เซลส์ไดล๊อค.คอม
เมื่อปี 2486 (ค.ศ. 1943) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ดร.เฮนรี่ เอ เมอร์เรย์ นักจิตวิทยาและผู้อำนวยการคลินิกจิตวิทยามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาบุคลิกภาพของนายอดอลฟ์ ฮิตเลอร์ แล้วรายงานต่อขุนพลกองทัพสัมพันธมิตร เพื่อประโยชน์ในการวางแผนยุทธศาสตร์สงคราม โดยสรุปสภาพนิสัยนายฮิตเลอร์ไว้ดังนี้ คือ (1) มีความขุ่นเคืองใจคุกรุ่นอยู่เป็นประจำ (2) ยอมรับคำตำหนิติเตียนผู้อื่นได้ไม่มาก (3) เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นตลอดเวลา (4) ไม่มีความกตัญญูรู้คุณผู้อื่น (5) ชอบดูหมิ่นเหยียดหยามและโทษผู้อื่น (6) มีแค้นที่ต้องชำระอยู่เป็นปกติวิสัย (7) ต่อสู้อย่่างบ้าบิ่นหัวชนฝาัทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้ (8) ชอบทำตามอำเภอใจและเชื่อมั่นในตนเองอย่างสุดโต่ง (9) ไม่มีอารมณ์ขำขัน (10) คิดแต่หาช่องทางเอาชนะตัวบทกฎหมาย ทั้งนี้ ล้วนบ่งบอกนิสัยของคนประเภท “ก้าวร้าวทำร้ายสังคม” อย่างชัดเจน
วิญญูชนทั้งหลายย่อมสามารถประเมินด้วยใจเป็นธรรมและจากข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งปวงได้ว่า นายทักษิณมีสีสันบุคลิกภาพเดียวกับนายฮิตเลอร์มากน้อยเพียงใด และต่างกันตรงความเข้มข้นในข้อใด
เมื่อเป็นทั้งโรคจิตวิปลาสและมีนิสัย “ก้าวร้าวทำร้ายสังคม” อย่างนายฮิตเลอร์ นายทักษิณจึงมิใช่สาวกธรรมดาๆของลัทธิอุบาทว์ดังกล่าว และเมื่อมีลมหายใจเข้าออกเป็น “ความรุนแรง” ดังเห็นได้จาก “ระเบิดรายวัน” และการซุ่มพิฆาตทหารที่ไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม ก็ไม่มีอะไรจะปราบสาวกลัทธิอุบาทว์อย่างทักษิณได้ นอกจากการใช้ “ความรุนแรง” แบบ “เกลือจิ้มเกลือ”
ล่าสุด นายทักษิณเริ่มก้าวร้าวทำร้ายสังคมด้วยการหลอกลวงล่อลวงชาวชนบทจำนวนหมื่นๆคนจากภาคอีสานและภาคเหนือไปชุมนุมกันที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ “ยุบสภา” ซึ่งย่อมส่งผลตามกฎหมายให้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ต้องยุบโดยปริยาย ทั้งนี้ ด้วยข้ออ้างที่ปราศจากความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ถูกอุปโลกน์ให้เป็นนายกฯโดยกลุ่มเจ้าและอำมาตย์ ทั้งๆที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ชาวชนบทจำนวนมากได้ไปร่วมชุมนุม เพราะมีความรู้สึกว่าเคยได้รัีบบาดแผลทางใจจาก “ข้าราชการ” เลวๆบางคนเมื่อสมัยนานมาแล้ว หรือได้ยินเขาเล่าว่า “ข้าราชการ” คือ “ข้ารับใช้” ของกลุ่มเจ้ากับกลุ่มอำมาตย์ที่ส่งไปทำหน้าที่ “ปกครอง” ชาวชนบทอย่าง “ไพร่” หากเป็นจริง ก็น่าจะเรียกร้องให้ปลด “ข้าราชการ” นั้นๆ มิใช่ “ยุบสภา”
จริงๆแล้ว ชาวชนบทดังกล่าวต่างก็ได้รับการอุปถัมภ์เป็นการส่วนตัวจากส.ส.ในเขตตนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ “ยุบสภา” แต่ประการใด และว่าตามรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองใดๆที่เป็นเหตุสมควรพอที่จะนำไปสู่การยุบสภาโดยชอบได้
นอกจา่กมีจิตวิปลาสและบุคลิกภาพแบบนายฮิตเลอร์ แล้ว นายทักษิณยังมีใจคอโหดเหี้ยมขนาดได้แอบแฝง “กองโจรติดอาวุธสงคราม” ไว้ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง เพื่อซุ่มพิฆาตกลุ่มทหาร ซึ่งใช้เพียงแก๊สน้ำตากับกระสุนยาง และเพื่อสาดกระสุนใส่กลุ่มเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงมาสังเวยเลือดกับชีวิตให้นายทักษิณโดยมิรู้ตัว แล้วใส่ร้ายรัฐบาลว่า ได้เข่นฆ่าประชาชน เป็นการปูทางให้นายทักษิณได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินอีก
เมื่อฝุ่นมรณะหายตลบลง นับผู้เสียชีิวิตไดุ้ถึง 21 ราย บาดเจ็บกว่า 800 ราย น่าสังเกตว่ามีทหารหลายรายุถูกสังหารด้วยกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะอย่างแม่นยำ โดยน่าจะซุ่มยิงจากชั้นบนอาคารใกล้เีคียงด้วยอาวุูธสงครามติดลำกล้องส่องทางไกลกับแสงเลเซอร์ทันสมัย
ณ วันนี้ นายทักษิณได้ยกระดับความชั่วร้ายของตนจากระดับนัึกการเมืองโกงกินชาตินับแสนล้านบาท ขึ้นสู่ระดับ “อาชญากรทำลายความมั่นคงแห่งชาติ” และ “อาชญากรทำลายความสงบสุขบ้านเมือง” ฉะนั้น รัฐบาลน่าจะพิจารณาดำเนินคดีกับนายทักษิณและสมุนด้วยข้อหาเป็น “กบฏต่อแผ่นดิน” และอาจพิจารณาดำเนินคดีกับอาชญากรดังกล่าวที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ด้วยข้อหา “ทำลายความสงบสุขบ้านเมือง”
พฤติการณ์ทั้งหลายของนายทักษิณบ่งบอกว่าเป็นคน “สติแตกปัญญาดับ” เพราะคิดเป็นแต่เข้าข้างตัวเองแบบ “คนหลงรักตัวเอง” (narcissist) โดยเฉพาะตามข้อ (8) ดังกล่าว ส่งผลให้มองไม่เห็น “ความโง่งี่เง่า” ของตน ซึ่งกำลังประจานตัวเองและสร้างศัตรูให้กับตัวเองโดยมิรู้ตัว สื่อต่างชาติเริ่มมองเห็นธาตุแท้ของนายทักษิณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ท่านพุทธทาสสอนไว้ว่า “ไปทะเลาะถุ้งเถียงกับเสือ ดีกว่าไปทะเลาะกับคนโง่ คนโง่ไม่มีเหตุผล หรือมีแต่เหตุผลของคนโง่”
การเจรจากับนายทักษิณหรือสมุนก็คือการไปทะเลาะถุ้มเถียงกับคนโง่ เป็นทางเลือกที่รัฐบาลพึงตัดออกไปอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น มีรัฐบาลที่ไหนในโลกยอมรับอำนาจเถื่อนของกฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย?
ส่วนการแสดงเมตตาจิตยื่น “ดอกไม้” ต่อคนอย่างทักษิณจะไม่ได้ผลดีแต่ประการใด เพราะจะพบแต่เล่ห์เหลี่ยมโกหกเอาตัวรอดแบบคน “สติแตกปัญญาดับ” เป็นที่เลื่องลือกันว่า นายทักษิณเป็นคนไม่มีความกตัญญูรู้คุณใครอยู่แล้ว แม้กระทั่้งต่อแผ่นดินไทยที่ให้กำเนิด การเติบโต และโอกาสทำมาหากินจนร่ำรวยมหาศาล
ในช่วงที่คลื่นลมหยุดเงียบหลังพายุมรณะได้พัดผ่านไป รัฐบาลน่าจะทบทวนทางออกดังนี้ คือ (1) รอให้กลุ่มเสื้อแดงสลายตัวกลับบ้านในเวลาอันควร (2) หากยังไม่กลับ ให้ประกาศใช้ “กฎอัยการศึก” ทันที (3) จัดการกับการชุมนุมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างเฉียบขาด ตามหลักสากลและด้วยกองกำลังติดอาวุธ (4) ออกกฎหมายจัดระเบียบสำหรับการใช้สิทธิ์ชุมนุมทางการเมือง เพื่อให้มีกติกาการชุมนุมที่แน่ชัดรัดกุมและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย (5) สอบสวนเหตุการณ์พิฆาตทหารและกลุ่มเสื้อแดง เพื่อจับกุม
“กองโจรติดอาวุธ” ของนายทักษิณกับสมุน แล้ว “เชือดคอไก่ให้ลิงดู” เพื่อชาติบ้านเมืองจะได้กลับคืนสู่ปกติสุขเสียที
หากพรรคร่วมรัฐบาลต้องการแ้ก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีกติกาใหม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แล้วถอนตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพื่อล้มรัฐบาลยุบสภาโดยปริยาย เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งโดยไว ก็จะเป็นที่พอใจของนายทักษิณ ซึ่งมัี่นใจว่า วัฒนธรรมหาเสียงแบบเดิมๆของตนจะทำคะแนนให้สมุนพรรคของตนได้มากพอที่จะตั้งรัฐบาลโดยลำพังหรือกับพรรคร่วมได้อีก จากนั้น “ตัวใครตัวมัน” ก็แล้วกัน
ประธานาธิบดีจอนห์ เอฟ เีคนเนดี้ สหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า “ใครที่ขัดขวางรัฐประหารโดยสงบ ย่อมทำให้รัฐประหารโดยความรุนแรงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ทั้งนี้ หมายความว่า รัฐประหารคือส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการทางการเมืองที่จะต้องเกิดเมื่อถึงเวลา เพื่อสังคมส่วนรวมจะได้ก้าวสู่ความสงบสุข โดยมิจำต้องเป็นปรากฏการณ์ที่น่ารังเกียจเสมอไป บางประเทศมีรัฐประหารถี่ เพราะอยู่ในระดับวิวัฒนาการหนึ่ง ผู้นิยมกฎหมู่เหนือกฎหมายและต้องการสถาปนา “คนหลงรักตัวเอง” ขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อสร้างสรรค์ความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนไปอีกหลายชั่วคน โดยมิต้องอาศัย “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” จะไม่ชอบรัฐประหารอย่างแน่นอน
รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า “กาอยู่ส่วนกา หงส์อยู่ส่วนหงส์” จึงมีหน้าที่เลือกอยู่กับกาหรือหงส์ กล่าวคือ อยู่กับ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” หรือ “ลัทธิสัตว์ประเสริฐ” ซึ่งตั้งอยู่บนพระธรรม โดยมีหลักปฏิบัติชีวิตประจำวันอยู่ใน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 อันเป็นวิถีชีวิตที่องค์การสหประชาชาติแนะนำให้ภาคีประเทศทั้งหลายนำไปพิจารณาประยุกต์กับสังคมตน
รัฐบาลต้องทำความรู้จักกับ “กบฏ” ของชาติอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วจัดการกับกบฏคนนี้อย่างเหมาะสม ตามตัวอย่างวิธีจัดการกับนายฮิตเลอร์โดยสัึมพันธมิตร ซึ่งได้ยกกำลังพลนัึบแสนๆคนขึ้นบก เสริมด้วยพลร่มนับหมื่น เพื่อเผด็จศึกประเทศเยอรมันนีของฮิตเลอร์แบบ “ม้วนเดียวจบ” หลังจากที่ขุนพลทั้งหลายแห่งกองทัพสัมพันธมิตรได้อ่านรายงานดังกล่าวของดร.เมอร์เรย์แล้ว เพราะตระหนักกันดีว่า ขืนมัวทำหน่อมแน้มกับคนอย่างนายฮิตเลอร์ โลกเสรีประชาธิปไตยจะหายสาปสูญไปจากโลกนี้เสียก่อนอย่างแน่นอน
ขืนมัวทำหน่อมแน้มกับคนอย่างนายทักษิณและสมุน ราชอาณาจักรไทยจะหายสาปสูญไปจากโลกนี้เสียก่อนอย่างแน่นอน.
No comments:
Post a Comment