Sunday, June 27, 2010

ธรรมาธิปไตย
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com

ในการอยู่ด้วยกันของประชากรจำนวนมากๆ เราจำต้องมี "กติกา" สำหรับส่งเสริมสนับสนุนให้อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข คือ มี "ระบอบการปกครอง" ซึ่งเปรียบได้กับ "ยานพาหนะ" ที่นำพาเราเดินทางสู่ "สันติสุข" อันพึงปรารถนาของทุกๆ คน

การเดินทางสู่สันติสุขย่อมยาวนานตลอดชีวิต หากจะให้ราบรื่นย่อมต้องมีแผนที่ แต่ที่สำคัญ ยิ่งกว่าแผนที่ ได้แก่ การสอบวัดตัวเองก่อน ว่า เราเป็นใคร มีรากฐานมาจากที่ใด วัฒนธรรมแบบใด เอกลักษณ์ (ความเป็นไทย) อย่างใด กำลังอยู่ ณ ที่ใด ฯลฯ

"ผลการสอบวัดตัวเอง" คือ "เข็มทิศที่ห้า" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพราะจะบ่งบอกว่า "เราคือใครและจะเริ่มเดินทางจากจุดใด" ตามแผนที่ที่มีสี่ทิศพร้อมอยู่แล้ว หากไม่มีจุดเริ่มต้น การเดินทางย่อมเป็นไปไม่ได้

เมื่อมี "เข็มทิศที่ห้า" แล้ว เราก็ต้องเลือกระบอบหรือยานพาหนะสำหรับนำพาเราเดินทางสู่จุดหมายปลายทาง คือ สันติสุข อันพึงปรารถนาของเรา โดยทำการคัดเลือกและ/หรือสร้างสรรค์ ระบอบที่เหมาะสมคู่ควรกับเรา โดยคำนึงถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนเอกลักษณ์ (ความเป็นไทย) ของตัวเรา และต้องระวังไม่เลือกผิดระบอบ มิฉะนั้น จะส่งผลให้เราตกอยู่ในสภาพ "หัวมังกุท้ายมังกร" ไม่สามารถนำพาเราสู่สันติสุข อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

พูดง่ายๆ เราต้องสอบวัดตัวเรา (เราเป็นใคร) ให้แน่ชัดก่อน เพื่อจะได้มี "เข็มทิศที่ห้า" ที่จำเป็นสำหรับเริ่มเดินทาง แล้วเลือกยานพาหนะ (ระบอบการปกครอง) ที่มีความเหมาะสมกับตนมาใช้เดินทางสู่จุดหมายปลายทางอันพึงปรารถนา (สันติสุข)

ระบอบหรือยานพาหนะมีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น "ประชาธิปไตย" ซึ่งอาศัยเสียงข้างมากเป็นหลักในการดำรงชีพ "อัตตาธิปไตย" ซึ่งอาศัยการบังคับบัญชาของบุคคลคนหนึ่งเป็นหลักฯ "อิสราธิปไตย" ซึ่งอาศัยการเป็นอิสระจากการถูกบังคับบัญชาโดยบุคคลคนหนึ่ง แต่ได้รับแต่การสนับสนุนทางทรัพยากรและความกระจ่างชัดแทน เป็นหลักฯ หรือ "ธรรมาธิปไตย" ซึ่งอาศัยพระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นหลักฯ เป็นต้น

สามระบอบแรกดังกล่าว มีกติกาหรือกลไกที่ออกแบบโดย "ปุถุชน" ทั่วไป ผู้ไม่จำต้องนับถือศาสนาเดียวกัน โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ "องค์ความรู้" (knowledge) ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลสมัยอยู่เสมอ ส่งผลให้ขาดความเหมาะสมหรือผิดกาลเทศะได้

ส่วน "ธรรมาธิปไตย" มีกติกาที่ออกแบบโดย "พุทธมามกะ" โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ "พระธรรม" ของ "อริยชน" คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็น "สัจธรรม" (absolute truth) ที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทันสมัยอยู่เสมอ

"ธรรมาธิปไตย" จึงเป็นระบอบที่มี "พระธรรม" มิใช่ "พระสงฆ์" หรือ "ปุถุชน" เป็นหลักในการตัดสินว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรชอบ อะไรมิชอบ ฯลฯ กล่าวคือ เป็นยานพาหนะที่มี "แสงสว่าง" นำทางให้เราเดินทางได้ทั้งกลางคืนกลางวัน รอดผ่านถ้ำมืดได้อย่างปลอดภัยสู่จุดหมายปลายทาง

"ธรรมาธิปไตย" จะปกครองและป้องกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาติบ้านเมืองได้อย่างไร?

ในด้านการปกครอง "ธรรมาธิปไตย" ย่อมคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นเกณฑ์ โดยเป็น "นิติรัฐ" มี "นิติธรรม" เยี่ยงอารยประเทศทั้งหลาย โดยให้แต่งตั้งคนดีมีศีลธรรมและความสามารถสูงเป็นผู้บริหารในระยะแรกเริ่ม และอาศัยหลักธรรมที่เน้นการสอนคนให้ตื่นจากกิเลสตัณหากับการยึดติดทั้งปวง กลายเป็นคนมีเสรีภาพจริงๆ ไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำรอบแล้วรอบเล่า อย่างเช่นในสังคมโลกตะวันตก 

ในด้านเศรษฐกิจ ให้อาศัยหลักธรรมต่างๆ เป็นพลังขับเคลื่อน เช่น "มรรคมีองค์แปด" "อิทธิบาทสี่" เพื่อการดำรงชีพและพัฒนาอาชีพ เป็นต้น ส่วนการกระจายรายได้ ให้เน้นการพึ่งตนเอง โดยการฝึกวิชาชีพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อการประกอบอาชีพ ฯลฯ

ดร.อีเอฟ ชูมาเชอร์ (E.F. Schumacher) นักเศรษฐศาสตร์โด่งดังระดับโลก ได้เขียนหนังสืออมตะ "Small is Beautiful : Economics as if People Mattered (จิ๋วแต่แจ๋ว เศรษฐศาสตร์ในแง่ที่คนเป็นปัจจัยสำคัญ)" ปี 2516 โดยสาธยายถึง Buddhist Economics (เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ) ไว้อย่างน่าสนใจ 

นอกจากนี้ พุทธพจน์ยังสอนให้เราอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเยี่ยงภมรผึ้งที่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ไปทำรังผึ้ง โดยไม่ทำลายดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธอันยั่งยืนทันสมัยยิ่ง

ในด้านจิตใจ ให้อาศัยหลักธรรมต่างๆ เช่น "สติปัฏฐานสี่" เพื่อเจริญสัมมาสติ และ "ปฏิจจสมุปบาท" เพื่อหยั่งรู้กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส เป็นต้น ล้วนเป็นมรรควิธียกพลังจิตให้คิดดีทำดีอย่างมีประสิทธิผล เป็นการช่วยสร้างครอบครัวและชาติบ้านเมืองให้อยู่ดีมีสุข

ปัจจุบัน พระธรรมได้รับการศึกษาและยอมรับนับถือจากบรรดานักจิตวิทยาโด่งดังของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และอื่นๆ อีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายๆ ท่านเหล่านี้ได้เขียนหนังสือเผยแพร่และประยุกต์พระธรรมในการรักษาคนป่วยเป็นโรคจิตได้อย่างมีผลดีมาแล้ว

โดยที่พระธรรมมีความสอดคล้องมากกว่าขัดแย้งกับศาสนาอื่น อีกทั้งได้อยู่คู่กับสถาบันชาติกับกษัตริย์ไทยมาร่วม 700 ปี "ธรรมาธิปไตย" จึงมีความเหมาะสมยิ่งสำหรับปกครองประเทศ ที่มีประชากรนับถือต่างศาสนาอยู่เป็นจำนวนมากอย่างไทย

ทันทีที่ "ธรรมาธิปไตย" เดินเครื่อง ยานพาหนะนี้จะแล่นฉิวด้วยจิตวิญญาณของอริยชนที่สามารถเจริญพัฒนาด้วยตนเอง และด้วยค่าบำรุงรักษาที่ต่ำมาก เพราะมีความพอเพียงอยู่ในตัว

ข้อเสนอข้างต้น คือ ภาพยกร่างของ "ธรรมาธิปไตย" ส่วนรายละเอียดจะเป็นภารกิจของส่วนรวมในการช่วยกันระดมความคิดสร้างสรรค์เสริมสร้างให้เป็นระบอบที่ยั่งยืน โดยอาจมีการปรับแต่งในทางปฏิบัติจนกว่าจะลงตัวเป็นส่วนใหญ่ 

หากสัมฤทธิผล ก็จะเป็นระบอบที่คู่ขนานกับระบอบของบางประเทศในภาคตะวันออกกลางที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และมีกติกาการปกครองอยู่มาก ที่มาจากบทบัญญัติในศาสนาโดยตรง

"ธรรมาธิปไตย" คือ สมุนไพรที่มีศักยภาพแก้พิษสง "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ได้ฉมัง และเป็นทางออกโค้งสุดท้ายของราชอาณาจักรไทย.

Saturday, June 26, 2010

ทักษิณกับกษัตริย์เหม็งฮั่ว : ใครเก่งกว่ากัน?
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com


ซุนซื่อ ขุนพลเอก ยอดนักยุทธศาสตร์ นักปราชญ์จีน สมัยสามพันปีก่อน ภาพ 663ไฮแลนด์

ซุนซื่อ (孫武) (ซุนหวู่) คือ สุดยอดปรมาจารย์พิชัยสงครามระดับโลก แม้กระทั่งนโปเลียน ขุนพลของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น สหรัฐอเมริกา ตลอดจนนายพลกองทัพสัมพันธมิตร ต่างได้ประยุกต์ตำราพิชัยสงครามของท่านและประสบผลดีมาแล้ว

ท่านซุนซื่อเป็นทั้งนักปรัชญาเมธีและนักรบจีน อยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า ปรมาจารย์เล่าจื๊อ และยอดนักการปกครองขงจื๊อ คาดกันในหมู่ผู้คงแก่เรียน ว่า ท่านมีชีวิตอยู่ก่อนยุคสามก๊กราว 8 ศตวรรษ

ในตำรา "ศิลปะการสงคราม" ท่านซุนซื่อสอนไว้ว่า "ความเยี่ยมยอดอยู่ที่สามารถยึดครองศัตรูอย่างเบ็ดเสร็จได้โดยไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียแต่อย่างใด การมุ่งทำลายล้างศัตรูคือยุทธศาสตร์ที่ย่ำแย่ การจับศัตรูมาเป็นเชลยศึกย่อมดีกว่าการประจัญบานกัน ไม่ว่าจะกับทั้งกองทัพหรือกองร้อยของศัตรู"

รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ดำเนินตามยุทธศาสตร์ท่านซุนซื่อมาตลอด ใช่หรือไม่?

ท่านซูชี่เหลียง ผู้เป็นนักการยุทธศาสตร์ รัฐบุรุษ ผู้คงแก่เรียน และนักประดิษฐ์ 724-786 ภาพ ดีเค

ในยุคสมัยต้นๆ ของสามก๊ก ราว 1,800 ปีก่อน ท่านซูชี่เหลียง (諸葛亮) (หรือ "ขงเบ้ง" ซึ่งเป็นนามที่ชาวจีนตั้งให้เป็นเกียรติภายหลัง) ผู้เป็นนักยุทธศาสตร์สงครามจีนและอัครมหาเสนาบดีแคว้นชูฮั่น มีภารกิจหนักต้องเผชิญกับภัยรุกรานจากเหนือและใต้พร้อมกัน 

ท่านซูชี่มีดำริยกทัพไปปราบศัตรูทางใต้ที่อ่อนแอกว่าก่อน แต่ได้รับคำท้วงติงจากกุนซือว่า แม้จะปราบได้สำเร็จ ในขณะยกทัพกลับขึ้นไปทางเหนือ ศัตรูทางใต้จะรวบรวมพลตีกลับได้อีก ฉะนั้น หากจะหาทางเอาชนะศัตรูทาง "จิตใจ" มิใช่ทาง "กำลัง" ก็น่าจะเป็นนโยบายที่ชาญฉลาดยิ่ง


กษัตริย์เหม็งฮั้ว ยุคสมัยสามก๊ก ผู้สีบสายเลือดขนขั้นสูง ภาพ นิรนาม

ต่อมาศัตรูทางใต้ยกทัพตีแคว้นชูฮั่นก่อน ท่านซูชี่สามารถตอบโต้กลับจนได้ชัยชนะ และจับกษัตริย์ผู้รุกรานทรงพระนามว่า องค์เหม็งฮั่ว (孟獲) มาเป็นเชลยศึก แทนที่จะสั่งจำคุกหรือประหารชีวิต ท่านซูชี่กลับจัดหาสุรายาแกล้มและกับข้าวกับปลามาเลี้ยงดูเชลยศึกอย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วออกมากล่าวปราศรัยว่า

"ข้าพเจ้าเชื่อว่า พวกเจ้ามีบิดามารดา ภรรยา และบุตรหลานที่กำลังรอพบเจ้าอยู่ที่บ้าน ข้าฯ จะปล่อยเจ้าไป เพื่อจะได้กลับไปสู่อ้อมอกของคนที่เจ้ารัก"

แล้วท่านซูชี่หันไปทูลถามกษัตริย์เหม็งฮั่ว ว่า "หากข้าพระพุทธเจ้าปล่อยฝ่าบาทไป ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไรกับข้าฯ ต่อไป


องค์เหม็งฮั่วตรัสว่า "ข้าพเจ้าจะรวบรวมกำลังพลยกมาตีท่านอีก หากท่านชนะอีก ข้าฯ จึงจะยอมรับในฝีมือยอดยุทธจักรของท่าน"

กระนั้นก็ตาม ท่านซูชี่สั่งปล่อยกษัตริย์เหม็งฮั่ว แถมกำนัลด้วยม้าพร้อมอานม้าอย่างดีและสมพระเกียรติ บรรดาขุนพลท่านซูซี่ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างออกหน้าออกตาทันที 


ท่านตอบว่า "ข้าฯ จับองค์เหม็งฮั่วมาเป็นเชลยศึกได้ ข้าฯ ก็ถวายการอนุเคราะห์แด่พระองค์ได้ ไม่มีอะไรยากเย็นเลย ข้าฯ กำลังเอาชนะพระทัยของพระองค์ แล้วความสงบสันติอันยั่งยืนก็จะตามมา"

เมื่อกำลังพลพร้อม กษัตริย์เหม็งฮั่วทรงยกทัพกลับไปตีแคว้นชูฮั่นอีก แต่ถูกจับเป็นเชลยอีก แล้วถูกปล่อยกลับไปอีก ทำเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง แต่ละครั้ง พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีจากท่านซูชี่ ทั้งๆ ที่ได้ทรงมีพระราชดำรัสอาฆาตมาดร้ายต่อท่านซูซี่

ก่อนเสด็จกลับครั้งที่หก กษัตริย์เหม็งฮั่วผู้ตกเป็นเชลยศึกอีก รับสั่งว่า "หากท่านซูชี่จับข้าพเจ้าได้อีกเป็นครั้งที่เจ็ด ข้าฯ ก็จะยอมให้ความจงรักภักดี และไม่ยกทัพมาตีท่านอีก


ท่านซูชี่ทูลตอบว่า "หากฝ่าบาททรงยกทัพมาอีก ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ปล่อยฝ่าบาทไปอีก"

กษัตริย์เหม็งฮั่วทรงมีพระราชประสงค์เผด็จศึกท่านซูชี่เป็นครั้งสุดท้าย (ม้วนเดียวจบ) จึงทรงขอพระราชานุเคราะห์จากกษัตริย์หวูตู่กู้แห่งแคว้นหวูเจ้อใกล้เคียง ซึ่งได้พัฒนาเสื้อเกราะทันสมัย ทำด้วยป่านเหนียวชุบน้ำมันดำ แล้วตากแห้งจนมีคุณสมบัติเหนียวแข็ง ต้านทานของมีคมได้ดี ทั้งสองกษัตริย์ผนึกกำลังยกทัพพิชิตแคว้นชูฮั่นทันที

ท่านซูชี่ใช้กลยุทธ์หลอกล่อให้กองทัพเสื้อเกราะวิ่งตามเข้าไปในหุบเข้าแคบๆ แห่งหนึ่ง แล้วสั่งจุดไฟเผาอาณาบริเวณรอบๆ เปลวเพลิงแพร่กระจายตามลม ลุกลามไปติดเสื้อเกราะชุบน้ำมันดำของทหารกษัตริย์หวูตู่กู้ ส่งผลให้ทหารถูกย่างสดเกือบหมด ขณะเดียวกัน ทหารกษัตริย์เหม็งฮั่วก็ถูกปิดล้อมตัดขาด จนองค์เหม็งฮั่วต้องปราชัยตกเป็นเชลยศึกอีก ครั้งนี้ ท่านซูชี่ส่งทหารไปอ่านสารคำสั่งถวายแด่พระองค์

"ท่านซูชี่มีบัญชาให้ข้าพระพุทธเจ้ามาปลดปล่อยองค์เหม็งฮั่วให้เป็นอิสระอีก เพื่อฝ่าบาทจะได้ทรงยกทัพกลับมาโจมตีท่านซูชี่อีก พระเจ้าค่ะ"

คราวนี้ กษัตริย์เหม็งฮั้วถึงกับทรงพระกันแสงดังก้องไปทั่ว น้ำพระเนตรไหลพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ต่อมา เมื่อมีโอกาสได้ทรงปฏิสันถารในฐานะเชลยศึกกับท่านซูชี่ พระองค์ทรงคุกเข่าลง ตรัสว่า "ท่านซูชี่ ท่านคืออัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งจากสรวงสวรรค์ ข้าฯ และทหารข้าฯ จะไม่มีวันรุกรานอธิปไตยของแคว้นชูฮั่นอีก"

ท่านซูชี่ทูลถามกษัตริย์เหม็งฮั่วว่า "พระองค์ทรงยอมแพ้จริงๆ แล้วหรือ?


องค์เหม็งฮั่วตรัสตอบว่า "ท่านซูชี่ ท่านได้มีความปรานีต่อข้าพเจ้าและบุตรหลานทั้งหลายของข้าฯ มาตลอด นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง พวกข้าฯ จะไม่ยอมแพ้ท่านได้อย่างไรล่ะ"

ท่านซูชี่สั่งจัดสมโภชสถาปนากษัตริย์เหม็งฮั่วขึ้นสู่บัลลังก์ แล้วถอนทัพกลับ จากนั้น องค์เหม็งฮั่วทรงกลายเป็นพันธมิตรที่อ่อนน้อม แต่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นชูฮั่น

นายทักษิณ ชินวัตร จะเก่งไม่แพ้กษัตริย์เหม็งฮั่ว โดยเฉพาะหากมีจิตสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินไทยและมีความพอเพียง โดยจะยังอยู่ในเมืองไทยและอภิรมย์อยู่กับอาณาจักรส่วนตัว เครื่องบินไอพ่นส่วนตัว และเพื่อนเล่นกอล์ฟมากมายไม่เว้นแต่ละวัน

แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดทุกวันนี้ ว่า นายทักษิณกลับกลายเป็น "นายใหญ่" ผู้แสดงเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์ชีวิตสุดแสนเศร้าน่าเวทนา เรื่อง "แดงทั้งแผ่นดิน" ม้วนเดียวจบ เห็นจะต้องติดตามดูด้วยใจระทึกต่อไป.
อย่าสอนมวยมาร์ค 
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com

        หลังจากที่ได้ปะทะกันทางวจีกรรมและกายกรรมมาร่วม 2 เดือน กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่สามารถขับไล่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ออกนอกประเท

       สื่อต่างชาติหลายรายได้แสดงมุมมองห่วงใยชาวชนบทจากภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเดินทางไกลไปชุมนุมในกรุงเทพมหานครกันมากมาย "โดยไม่ได้รับรางวัลสินจ้าง" จึงเสนอรัฐบาลไทยให้ช่วยเหลือชาวชนบทเหล่านี้ ซึ่งกำลังมีทุกข์ร้อนเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจริง ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงอีก

       สื่อเหล่านี้อาจไม่ทราบว่า ความเหลื่อมล้ำมีมานานแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร ในขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ใช้นโยบายประชานิยมเข้าแก้ไข ในทำนองเอา "ปลา" ไปแจกแถมในชนบท ผลก็คือ พ่อค้าขายปลาในเมืองร่ำรวยขึ้น แต่ชาวชนบทกลับดิ่งลึกลงสู่วัฏจักรความยากจนกว่าเดิม ทันทีที่ปลาหมด ปัญหาเหลื่อมล้ำจึงเปรียบเสมือนศัตรูที่อยู่ข้างกาย พร้อมที่จะทิ่มแทงผู้ใดที่เป็นนายกฯ อยู่ได้เสมอ แบบ "หอกข้างแคร่"

        เมื่อผู้ไม่หวังดีต่อส่วนรวมได้ฉวยโอกาสโยนบาปความเหลื่อมล้ำไปที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การไปร่วมชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มเสื้อแดงที่ กทม.จึงเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้

        จริงๆ แล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ลงนามในโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสำหรับชนบทมามากกว่านายกฯ ท่านอื่นใดภายในปีสองปีแรก ที่เข้ารับช่วงภารกิจกลางคัน ซึ่งตรงกับจังหวะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกด้วย ตามปกติกว่าที่โครงการดังกล่าวจะส่งผลเป็นรูปธรรม ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
 
       สิ่งที่น่าห่วงใยจริงๆ ได้แก่ กลยุทธ์ของ "ผู้ก่อการร้าย" ที่เที่ยวโกหกว่า นายกฯ อภิสิทธิ์เป็นต้นตอของความเหลื่อมล้ำ โดยอาจจูงใจด้วยการให้ความหวังว่า เมื่อไปชุมนุมที่ กทม.แล้ว จะมีคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย

       นอกจากนี้ สื่อต่างชาติหลายรายยังหลงเชื่อคำกล่าวของนายทักษิณที่ว่า ตนจะกลับไทยพร้อมกับนำ "ประชาธิปไตย" ที่ถูกอำมาตย์ย่ำยี กลับคืนสู่ประชาชนทั้งประเทศ จึงเสนอรัฐบาลให้ยึดมั่นในความเสมอภาค โดยหารู้ไม่ว่า "ประชาธิปไตย" ของไทยถูกฆาตกรรมทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ด้วยฝีมือการซื้อสิทธิเลือกตั้งอย่างแยบยล โดยนักการเมืองสามานย์ ซึ่งมุ่งหวังคอร์รัปชันทำมาหากินร่ำรวยยิ่งขึ้นในตำแหน่งทางการเมือง หลังชนะการเลือกตั้ง

       "ประชาธิปไตย" ของไทยจึงมีแต่เพียงโครงสร้าง หามีจิตวิญญาณไม่ นักการเมืองสามานย์จำนวนมากได้อาศัยโครงสร้าง "ประชาธิปไตย" เข้าสู่การทุจริตโกงกินและทำมาหากินมิชอบ โดยหามีใครสนใจในความทุกข์ยากของประชาชนผู้มีอำนาจเป็นใหญ่ไม่ 

       เราน่าจะมองการปะทะกันดังกล่าวอย่างไร?

       นายทักษิณกับนายกฯ อภิสิทธิ์ คือ "ผลผลิต" ของสังคมไทย ซึ่งประกอบด้วย ผู้คนทุกระดับชั้นที่ร่วมกันสร้าง "ค่านิยมทางสังคม" หล่อหลอมนายทักษิณและนายกฯ อภิสิทธิ์ ให้เป็น "ผู้ก่อปัญหา" หรือ "ผู้แก้ปัญหา"

       ใครจะดีชั่วย่อมสอบวัดได้จากการอยู่ไกลหรือใกล้ศีลธรรมคุณธรรมของศาสนา ยิ่งอยู่ไกลออกไปก็ยิ่งเป็นผู้ก่อปัญหา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเป็นผู้แก้ปัญหา โดยสำแดงออกทางพฤติกรรมที่บ่งบอกว่า ยึดค่านิยมใน "เงินทอง" หรือ "บุญกุศล" เป็นสรณะ หากยึดมั่นเงินทองมากกว่าก็เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ซึ่งก่อปัญหาลูกเดียว ทั้งต่อพวกเดียวกันและผู้อื่น ทำให้แตกความสามัคคีกันเสมอ หากยึด "บุญกุศล" มากกว่า ก็เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ซึ่งแก้ปัญหาให้กับทุกๆ คน เป็นประจำ

       ลัทธิแรก เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ "ซื้อขาย" กันได้ด้วยเงินทองของมีค่า ไม่ว่าจะเป็นชีวิตมนุษย์ คู่สมรส คำมั่นสัญญา อุดมการณ์ กลไกการเมือง ความหายนะของชาติ ฯลฯ ก็ตาม อีกทั้ง "มรรควิธี" ไม่สำคัญเท่ากับ "เป้าหมายส่วนตัว" ฉะนั้น บรรดาสัตว์เศรษฐกิจเชื่อว่า ใครจะสร้าง "อาณาจักรส่วนตัว" "ก่อการร้าย" ด้วยวิธีใด ไม่ผิดทั้งนั้น!

       ลัทธิหลัง เชื่อว่าทุกคนควรรับการฝึกฝนให้รู้จักกฎแห่งธรรมชาติ หรือความเป็นจริงที่จริงเสมอไป ใช้สติปัญญา ทำบุญสร้างกุศลไว้เป็นต้นทุนชีวิต พึ่งตนเองเป็น ไม่พึ่งเงินทอง ก้อนหิน โลหะ ต้นไม้ จิ้งจก ตุ๊กแก ฯลฯ ก็สามารถประสบความเจริญสุขได้ ตลอดจนสัมพันธ์กับเงินทองด้วยสติปัญญา จะได้ไม่ตกเป็น "ทาส" ของเงินทอง มองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เถียงผิดให้เป็นถูก หรือก่อการร้าย

       ในด้านการเมือง "การพึ่งตนเอง" หมายถึง การพึ่งสติปัญญาตน ไม่พึ่งเงินทองของมีค่าที่คนอื่นหยิบยื่นให้หรือให้ยืมแบบไม่ต้องคืน แต่ด้วยเงื่อนไขให้ไปทำอะไรสักอย่าง เช่น ให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้กับพรรคหรือนักการเมืองหนึ่งใด หรือก่อการร้าย เป็นต้น ผู้ที่ตกลงปลงใจด้วย อาจหน้ามืดไม่สนใจว่าเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมต่อส่วนรวมหรือไม่ เพราะรู้แต่ว่าไม่ต้องการฆ่าห่านที่วางไข่ทองคำให้ตน

       ขณะนี้ เป็นที่ชัดแจ้งแดงแจ๋แล้วว่า หากเราเลือก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ก็อยู่กับฝ่ายนายทักษิณ แต่หากเลือก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ก็อยู่กับนายกฯ อภิสิทธิ์

       จริงๆ แล้ว ใครจะใส่เสื้อสีอะไรก็อยู่กับนายทักษิณได้ สังคมไทยยังมีคนจำนวนมาก ที่ปากอาจด่านายทักษิณกับสมุนอีกทั้งเกลียดชังกลุ่มเสื้อแดง แต่ใจกลับฝักใฝ่นายทักษิณโดยมิรู้ตัว สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่ปราศจากจิตสำนึกว่า ตนคือสังคมของ "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ที่มุ่งทำลายชาติศาสน์กษัตริย์ และบุตรหลานตนตลอดไป

       ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่ตื่นจากภวังค์ สู่การเป็นสังคมที่ตื่น รู้จักศีลธรรมคุณธรรม สะสมบุญกุศล (มิใช่บุญกุศลเชิงพุทธพาณิชย์) และเป็นสาวกของ "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ตราบนั้น การก่อการร้ายที่เห็นๆ กันอยู่ จะหวนกลับมาอีกอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ด้วยความรุนแรงกว่าเดิม

       สื่อดังกล่าวเปรียบได้กับนิทานเรื่องชาวฮินดูตาบอด 6 คน ที่ผลัดกันลูบคลำลำตัว งา งวง ขา ใบหู และหางช้าง แล้วประกาศว่า "ช้างเหมือนกำแพงเป็นแน่แท้" "ช้างเหมือนหอกยาวแหลมมิต้องสงสัย" ฯลฯ ป่วยการที่จะไปสอนมวยแก่นายกฯ อภิสิทธิ์ ทุกวันนี้ เพียงภารกิจปกติของนายกรัฐมนตรีไทย ก็ได้ทำให้ความหล่อของท่านหายไปบ้าง ความเหลา (เล็กน้อย) เข้าแทนที่ก่อนวัยอันควร สงสารท่านเถอะ ขออย่าโทษท่านอีกเลย

       ว่าแต่ว่า ท่านเองตื่นจากภวังค์หรือยัง?
สุญญากาศมหาภัย
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 กล่าวถึงการปกครองของประเทศไทยว่าอยู่ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 ทหารคณะราษฎรกำลังรอคำสั่งอยู่บริเวณพระราชวัง 24 มิถุนายน 2475 ภาพ นิรนาม

       ปี 2475 มีคณะบุคคลทำการสถาปนา ประชาธิปไตยที่สั่งเข้ามาจากโลกตะวันตกเป็นครั้งแรกอย่างเร่งด่วน แต่ว่า ประชาชนในสมัียนั้น ไม่พร้อมที่จะรับระบอบการปกครองใหม่เอี่ยมดังกล่าว เมื่อผู้เป็นปัจจัยหรือหัวใจสำีคัญยิ่ง ไม่พร้อมในขณะที่รัฐบาล ทุกคณะต่อมาก็ขาดประสบการณ์ในการบริหารชาติบ้านเมือง ประชาธิปไตยที่ถูกสั่งเข้ามาก็ล้มลุกคลุกคลานเป็น ประชาิธิปไตยแบบไทยๆตลอด 77 ปี ตราบเท่าทุกวันนี้

       ที่น่าวิตกยิ่งก็คือ ปัจจุบัน ประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะชาวชนบท ซึ่งเป็นฐานเสียงข้างมากก็ยัง ไม่พร้อมที่จะยื่นมือข้างหนึ่งของตนไปจับกับมือข้างหนึ่งของ ประชาธิปไตยเพื่อทำความรู้จักกัน ในขณะที่ราชอาณาจักรไทยยังไม่มีระบอบการปกครองอื่นใดรองรับแทนอยู่ ทั้งนี้ ก่อให้เกิด ช่องว่างที่ผู้ไม่หวังดีต่อ ชาติศาสน์กษัตริย์สามารถฉวยโอกาสอ้าง ประชาธิปไตยครึ่งใบ”  ทำการปล้นชาติขายเมืองได้ตามใจชอบ ช่องว่างดังกล่าวคือ สุญญากาศมหาภัยของชาติบ้านเมือง  

       ทำไมจึงมองว่าประชาชนทั่วไปยังอยู่ในภาวะ ไม่พร้อม”?

       ใครที่ขับเคลื่อนรถยนต์เป็นอย่างเดียว ย่อมอยู่ในภาวะที่ยัง ไม่พร้อมที่จะขับรถ จนกว่าจะเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎหมายจราจร จริยธรรม มารยาทตลอดจนความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยต่อส่วนรวมของการใช้รถใช้ถนน ฉันใด ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่หย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นอย่างเดียว ย่อม ไม่พร้อมที่จะขับเคลื่อนกลไก ประชาธิปไตยจนกว่าจะเรียนรู้แนวคิดและปฎิบัติตามกติกาที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนของระบอบดังกล่าว ฉันนั้น

       การเรียนรู้และการปฏิบัติดังกล่าวมิใช่ปัญหาของ ประชาชนแต่ประการใด อุปสรรคสำคัญของ ประชาธิปไตยอยู่ที่ปัจจัยอื่นๆ ดังจะได้กล่าวถึงใน วิบากกรรมประชาธิปไตยต่อไป

       นอกจาก ประชาชนจะ ไม่พร้อมแล้ว ประชาธิปไตยยังถูก ฆาตกรรมอีกด้วย โดยนัยทางทฤษฎี ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงย่อมมี สิทธิ์เสรีภาพที่จะเลือกผู้แทนได้ตาม ความสมัครใจของตนเอง ในขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งย่อม ไม่มีสิีทธิ์เสรีภาพที่จะ โน้มน้าวกดดันบังคับผู้มีสิทธิ์ฯให้เลือกหรือไม่เลือกผู้ใด จะโดยการทวง หนี้บุญคุณจากการ อุปถัมภ์ส่วนตัวของผู้สมัครเอง พรรคการเมือง หรือนักการเมืองหนึ่งใด หรือโดยการมอมเมาประชาชนด้วย ความเท็จหรือข้อมูลครึ่งเท็จครึ่งจริงที่ให้ร้ายป้ายสีคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม ก็ตาม

 หน่วยลงคะแนนเลือกตั้ง ภาพ ธนรัตน์

       โดยนัยทางปฏิบัติ สิทธิ์เสรีภาพของผู้มีสิทธิ์ฯส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในชนบท ถูกลิดรอนอย่างแยลยล โดย นักการเมืองสามานย์ตลอดมา ด้วยการซื้อสิทธิ์ อุปถัมภ์ และโฆษณาชวนเชื่อ จนกลายเป็น วัฒนธรรมการเมืองน้ำเน่าไปแล้ว คะแนนเสียงในบัตรเลือกตั้งจึง มิได้มาจาก ผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรเลือกตั้งแต่มาจาก ผู้ไม่มีสิทธิ์หย่อนบัตรเลือกตั้งของผู้อื่นที่ได้แอบเข้าไปก้าวก่ายกดดันบงการโดยตรง/โดยอ้อม ให้ผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรยินยอมคล้อยตามเงื่อนไขของผู้ไม่มีสิทธิ์หย่อนบัตรใบนั้น 

       ด้วยเหตุนี้ บัตรเลือกตั้งดังกล่าวจึงมีสถานะภาพที่ ผิดกติกาทันที ส่งผลให้ การเลือกตั้งไม่ได้เกิดขึ้นตามกติกา เมื่อไม่มี การเลือกตั้งโดยชอบ ประชาธิปไตยก็ไม่เกิด พูดง่ายๆก็คือ

       ประชาธิปไตยถูก ฆาตกรรมก่อนเกิดเรียบร้อยแล้ว

       นักการเมืองสามานย์นิยมลงทุนซื้อ สิทธิ์เสรีภาพของประชาชน เพื่อจะได้ประสบชัยชนะจัดตั้งรัฐบาล แล้วฉวยโอกาสถอนทุน ทำการโกงกินเงินงบประมาณ และทำมาหากินแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าส่วนตัว ในตำแหน่งหน้าที่การงานสำหรับสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับส่วนรวม


อำนาจเงินทอง คือ อาหารเชื้อเพลิงของลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ ภาพ บักต์

       นัึกการเมืองสามานย์เหล่านี้คือผลผลิตและสาวกของ ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจในสังคมไทย ซึ่งสอนให้บูชาเคารพนับถือ เงินทองอย่าง พระเจ้าและ ประมุขแห่งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้สามารถตีราคาเป็น เงินทองซื้อขายกันได้หมด แม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ ชีวิตแต่งงาน คำมั่นสัญญา ฯลฯ สาวกเชื่อกันว่าจะเสียชาติเกิดหากไม่ทุ่มเทเวลาแสวงหาครอบครอง รางวัลรวบยอด” (jackpot) เข้ากระเป๋าส่วนตัว และยึดมั่นว่า ชีวิตคือการรับลูกเดียวจะมีการให้ก็ต่อเมื่อมี เงื่อนไขที่ตนไม่ขาดทุนเท่านั้น โดยยึดหลัก ตัวกู-ของกู” “ตัวใคร-ตัวมันฯลฯ

       ในการเลือกตั้งตามวาระหน้านี้ นักการเมืองสามานย์จะทุ่มเททุนทรัพย์จำนวนอภิมหึมาพญามหาศาล เพื่อซื้อเสียงเหมาหมดทุกภาคอย่างแยบยลกว่าทุกครั้ง บางส่วนของทุนก็ไดุ้ถูกใช้ไปแล้วทางวิทยุโทรทัศน์สิ่งพิมพ์ในสงครามแย่งชิงประชาชน เพราะเป็น โอกาสเพชรที่จะต้อง เผด็จศึกกำจัดศัตรูของสาวก ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจอย่างเด็ดขาดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะสถาปนาและกำ รัฐไทยใหม่ของสาวก ลัึทธิสัตว์เศรษฐกิจไว้ใน อุ้งมือเหล็กอีกนานเท่านาน


ธงไตรรงค์แห่งราชอาณาจักรไทย ภาพ ธนรัตน์

       ชะตากรรมของ ชาติศาสน์กษัตริย์กำลังแขวนอยู่กับเส้นด้ายที่มีแต่ สุญญากาศมหาภัยหรือ เหวนรกรองรับอยู่ โดยสุ่มเสี่ยงกับมหันตภัยจาก นักการเมืองสามานย์ผู้เป็นสาวกของ ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจและกำลังทำการ ล้มเจ้า ล้มอำมาตย์ ล้มรัฐบาลอำมาตย์ด้วยเงินทองนับหมื่นล้านบาท


นายทักษิณ ชินวัคร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเยือนเกาะทองก้า มหาสมุทรแปซิฟิค ภาพ รอยเตอร์ 

       นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้ไต่เต้าในวงการเมืองอย่างรวดเร็วเกินกว่าปกติ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางมิชอบโดยกลุ่มชาวเมืองมาตลอด มักประกาศอยู่บ่อยๆว่า ตนเป็น นักประชาธิปไตยและสัญญาจะนำ ประชาธิปไตยกลับมาฝาก พี่น้องประชาชนของผมในเร็ววันนี้

       นายทักษิณจะสามารถทำตามสัญญาได้จริงหรือ?

       ได้ แต่จะนำมาฝากได้แต่ ซากศพประชาธิปไตยเพราะ ประชาฺธิปไตยตายก่อนเกิดเสียแล้ว ทั้งนี้ ด้วยฝีมือของนักการเมืองสามานย์ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ดังจะกล่าวถึงเพิ่มเติมใน วิบากกรรมประชาธิปไตยต่อไป

       พฤติกรรมของนักการเมืองสามานย์ดังกล่าว เตือนใจให้นึกถึงภาพยนตร์ตุ๊กตาทองเรื่องไซโค (Psycho) กำกับการแสดงโดยนายอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ปี 2505 ตัวแสดงเอกเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่้งในสหรัฐอเมริกา มีอาการหลงละเมออยู่กับ ภาพหลอนว่า มารดาตน ซึ่งได้ถึงแก่กรรม ตายจากไปนานแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ โดยจัดซากศพมารดาที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ให้นั่งอยู่กับ เก้าอี้โยกในบ้านข้างโรงแรม แล้วไปนั่งสนทนากับซากศพมารดาในยามว่าง โดยมักเอ่ยถึงมารดาตนกับผู้อื่่นราวกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่


ฉากเจ้าของโรงแรมฆาตกรรมหญิงสาวผู้พัก ภาพ ไซโค

       ฉากในภาพยนตร์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์สยองขวัญกับผู้ชมทั่วโลก ได้แก่ฉากที่ตัวเจ้าของโรงแรมย่องเข้าไปที่ห้องน้ำในห้องพักของหญิงสาวรายหนึ่ง แล้วใช้มีดแหลมคมยาวฆาตกรรมหญิงสาวในขณะที่เผลอตัวกำลังใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่ โดยฆาตกรมิรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะถูก ภาพหลอนมารดาครอบงำจิตตนอยู่ในชั่ววูบนั้น

       นักการเมืองสามานย์มี ภาพหลอนอยู่ว่า ประชาิธิปไตยของไทยยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่เป็นที่เลื่องลือกันว่า ตนกับพรรคการเมืองตนเป็นผู้พิฆาต ประชาธิปไตยทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน นักการเมืองเหล่านี้ก็มักเอ่ยถึง ซากศพประชาธิปไตยราวกับว่าระบอบนี้ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้พลอยมองเห็น ภาพหลอนและบ้าจี้ตามด้วย

       นักการเมืองผู้จงรักภัึกดีต่อ "ชาติศาสน์กษัตริย์" หลายท่านรู้ทัน ภาพหลอนของบรรดานักการเมืองสามานย์ แต่ทำอะไรมากไม่ได้ ด้วยตกอยู่ในสภาพ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ"

       จริงๆแล้ว ประชาธิปไตยของไทย มีแต่ ชื่อกับโครงสร้างหามี จิตวิญญาณไม่ โดยอยู่ในสภาพ ซากศพที่นั่้งอยู่บน เก้าอี้โยกดังกล่าว ซึ่งนักการเมืองสามานย์กำลังพยายามยกไปตั้งไว้ข้างเก้าอี้ตำแหน่งทางการเมืองในอนาคตของตน เพื่อจะได้นั่งสนทนากับ/เอ่ยถึง ซากศพประชาธิปไตยในยามว่าง

       “ซากศพประชาธิปไตยบน เก้าอี้โยกดังกล่าว คือเครื่องเตือนใจราชอาณาจักรไทยว่า การปล่อยให้นักการเมืองสามานย์หากินจาก ซากศพดังกล่าวไปเรื่อยๆ โดยไม่อนาทรร้อนใจที่จะนำระบอบการปกครองที่สอดคล้องกับ ความเป็นไทยมารองรับโดยด่วนที่สุด จะก่อให้เกิด ช่้องว่างที่ปราศจากระบอบการปกครองหนึ่งใด กล่าวคือ สุญญากาศมหาภัยที่เป็นภยันตรายต่อ "ชาติศาสน์กษัึตริย์" อย่างยิ่ง

       ระบอบที่สอดคล้องดังกล่าวได้แก่ระบอบใด จะได้กล่าวถึงใน วิบากกรรมประชาธิปไตยต่อไป

       ใครอยากคบหาสมาคมกับนักการเมืองสามานย์ที่สามานย์ปานนี้ ก็ขอให้ชมภาพยนตร์ดังกล่าวเตือนใจตนเองอีกสักครั้ง

       นอกจาก ประชาธิปไตยจะถูกนัการเมืองสามานย์ใช้เป็น "ภาพหลอน" บ่้อนทำลาย "ชาติศาสน์กษัตริย์" แล้ว ยังถูกใช้อ้างเพื่อนำไปสู่การสถาปนา "รัฐไทยใหม่" ภายใต้ "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" อีกด้วย ทั้งนี้ เพราะยังไม่มีการสถาปนาระบอบการปกครองอื่นใดที่สอดคล้องกับ "ชาติศาสน์กษัตริย์" อย่างเป็นทางการ

       ผู้รัก ชาติศาสน์กษัตริย์จริง ไม่มีสิทธิ์นั่้งทับมือเฉยแม้แต่ลมหายใจเดียว จงลุกขึ้นแสดงจุดยืนและความเก่งกาจจำเพาะตน ทำการต่อต้าน นักการเมืองสามานย์ก่อนที่จะสายเกินไป.