ทักษิณกับกษัตริย์เหม็งฮั่ว : ใครเก่งกว่ากัน?
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
ซุนซื่อ ขุนพลเอก ยอดนักยุทธศาสตร์ นักปราชญ์จีน สมัยสามพันปีก่อน ภาพ 663ไฮแลนด์
ซุนซื่อ (孫武) (ซุนหวู่) คือ สุดยอดปรมาจารย์พิชัยสงครามระดับโลก แม้กระทั่งนโปเลียน ขุนพลของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น สหรัฐอเมริกา ตลอดจนนายพลกองทัพสัมพันธมิตร ต่างได้ประยุกต์ตำราพิชัยสงครามของท่านและประสบผลดีมาแล้ว
ท่านซุนซื่อเป็นทั้งนักปรัชญาเมธีและนักรบจีน อยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า ปรมาจารย์เล่าจื๊อ และยอดนักการปกครองขงจื๊อ คาดกันในหมู่ผู้คงแก่เรียน ว่า ท่านมีชีวิตอยู่ก่อนยุคสามก๊กราว 8 ศตวรรษ
ในตำรา "ศิลปะการสงคราม" ท่านซุนซื่อสอนไว้ว่า "ความเยี่ยมยอดอยู่ที่สามารถยึดครองศัตรูอย่างเบ็ดเสร็จได้โดยไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียแต่อย่างใด การมุ่งทำลายล้างศัตรูคือยุทธศาสตร์ที่ย่ำแย่ การจับศัตรูมาเป็นเชลยศึกย่อมดีกว่าการประจัญบานกัน ไม่ว่าจะกับทั้งกองทัพหรือกองร้อยของศัตรู"
รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ดำเนินตามยุทธศาสตร์ท่านซุนซื่อมาตลอด ใช่หรือไม่?
ท่านซูชี่เหลียง ผู้เป็นนักการยุทธศาสตร์ รัฐบุรุษ ผู้คงแก่เรียน และนักประดิษฐ์ 724-786 ภาพ ดีเค
ในยุคสมัยต้นๆ ของสามก๊ก ราว 1,800 ปีก่อน ท่านซูชี่เหลียง (諸葛亮) (หรือ "ขงเบ้ง" ซึ่งเป็นนามที่ชาวจีนตั้งให้เป็นเกียรติภายหลัง) ผู้เป็นนักยุทธศาสตร์สงครามจีนและอัครมหาเสนาบดีแคว้นชูฮั่น มีภารกิจหนักต้องเผชิญกับภัยรุกรานจากเหนือและใต้พร้อมกัน
ท่านซูชี่มีดำริยกทัพไปปราบศัตรูทางใต้ที่อ่อนแอกว่าก่อน แต่ได้รับคำท้วงติงจากกุนซือว่า แม้จะปราบได้สำเร็จ ในขณะยกทัพกลับขึ้นไปทางเหนือ ศัตรูทางใต้จะรวบรวมพลตีกลับได้อีก ฉะนั้น หากจะหาทางเอาชนะศัตรูทาง "จิตใจ" มิใช่ทาง "กำลัง" ก็น่าจะเป็นนโยบายที่ชาญฉลาดยิ่ง
ต่อมาศัตรูทางใต้ยกทัพตีแคว้นชูฮั่นก่อน ท่านซูชี่สามารถตอบโต้กลับจนได้ชัยชนะ และจับกษัตริย์ผู้รุกรานทรงพระนามว่า องค์เหม็งฮั่ว (孟獲) มาเป็นเชลยศึก แทนที่จะสั่งจำคุกหรือประหารชีวิต ท่านซูชี่กลับจัดหาสุรายาแกล้มและกับข้าวกับปลามาเลี้ยงดูเชลยศึกอย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วออกมากล่าวปราศรัยว่า
"ข้าพเจ้าเชื่อว่า พวกเจ้ามีบิดามารดา ภรรยา และบุตรหลานที่กำลังรอพบเจ้าอยู่ที่บ้าน ข้าฯ จะปล่อยเจ้าไป เพื่อจะได้กลับไปสู่อ้อมอกของคนที่เจ้ารัก"
แล้วท่านซูชี่หันไปทูลถามกษัตริย์เหม็งฮั่ว ว่า "หากข้าพระพุทธเจ้าปล่อยฝ่าบาทไป ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไรกับข้าฯ ต่อไป"
องค์เหม็งฮั่วตรัสว่า "ข้าพเจ้าจะรวบรวมกำลังพลยกมาตีท่านอีก หากท่านชนะอีก ข้าฯ จึงจะยอมรับในฝีมือยอดยุทธจักรของท่าน"
องค์เหม็งฮั่วตรัสว่า "ข้าพเจ้าจะรวบรวมกำลังพลยกมาตีท่านอีก หากท่านชนะอีก ข้าฯ จึงจะยอมรับในฝีมือยอดยุทธจักรของท่าน"
กระนั้นก็ตาม ท่านซูชี่สั่งปล่อยกษัตริย์เหม็งฮั่ว แถมกำนัลด้วยม้าพร้อมอานม้าอย่างดีและสมพระเกียรติ บรรดาขุนพลท่านซูซี่ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างออกหน้าออกตาทันที
ท่านตอบว่า "ข้าฯ จับองค์เหม็งฮั่วมาเป็นเชลยศึกได้ ข้าฯ ก็ถวายการอนุเคราะห์แด่พระองค์ได้ ไม่มีอะไรยากเย็นเลย ข้าฯ กำลังเอาชนะพระทัยของพระองค์ แล้วความสงบสันติอันยั่งยืนก็จะตามมา"
ท่านตอบว่า "ข้าฯ จับองค์เหม็งฮั่วมาเป็นเชลยศึกได้ ข้าฯ ก็ถวายการอนุเคราะห์แด่พระองค์ได้ ไม่มีอะไรยากเย็นเลย ข้าฯ กำลังเอาชนะพระทัยของพระองค์ แล้วความสงบสันติอันยั่งยืนก็จะตามมา"
เมื่อกำลังพลพร้อม กษัตริย์เหม็งฮั่วทรงยกทัพกลับไปตีแคว้นชูฮั่นอีก แต่ถูกจับเป็นเชลยอีก แล้วถูกปล่อยกลับไปอีก ทำเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง แต่ละครั้ง พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีจากท่านซูชี่ ทั้งๆ ที่ได้ทรงมีพระราชดำรัสอาฆาตมาดร้ายต่อท่านซูซี่
ก่อนเสด็จกลับครั้งที่หก กษัตริย์เหม็งฮั่วผู้ตกเป็นเชลยศึกอีก รับสั่งว่า "หากท่านซูชี่จับข้าพเจ้าได้อีกเป็นครั้งที่เจ็ด ข้าฯ ก็จะยอมให้ความจงรักภักดี และไม่ยกทัพมาตีท่านอีก"
ท่านซูชี่ทูลตอบว่า "หากฝ่าบาททรงยกทัพมาอีก ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ปล่อยฝ่าบาทไปอีก"
ท่านซูชี่ทูลตอบว่า "หากฝ่าบาททรงยกทัพมาอีก ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ปล่อยฝ่าบาทไปอีก"
กษัตริย์เหม็งฮั่วทรงมีพระราชประสงค์เผด็จศึกท่านซูชี่เป็นครั้งสุดท้าย (ม้วนเดียวจบ) จึงทรงขอพระราชานุเคราะห์จากกษัตริย์หวูตู่กู้แห่งแคว้นหวูเจ้อใกล้เคียง ซึ่งได้พัฒนาเสื้อเกราะทันสมัย ทำด้วยป่านเหนียวชุบน้ำมันดำ แล้วตากแห้งจนมีคุณสมบัติเหนียวแข็ง ต้านทานของมีคมได้ดี ทั้งสองกษัตริย์ผนึกกำลังยกทัพพิชิตแคว้นชูฮั่นทันที
ท่านซูชี่ใช้กลยุทธ์หลอกล่อให้กองทัพเสื้อเกราะวิ่งตามเข้าไปในหุบเข้าแคบๆ แห่งหนึ่ง แล้วสั่งจุดไฟเผาอาณาบริเวณรอบๆ เปลวเพลิงแพร่กระจายตามลม ลุกลามไปติดเสื้อเกราะชุบน้ำมันดำของทหารกษัตริย์หวูตู่กู้ ส่งผลให้ทหารถูกย่างสดเกือบหมด ขณะเดียวกัน ทหารกษัตริย์เหม็งฮั่วก็ถูกปิดล้อมตัดขาด จนองค์เหม็งฮั่วต้องปราชัยตกเป็นเชลยศึกอีก ครั้งนี้ ท่านซูชี่ส่งทหารไปอ่านสารคำสั่งถวายแด่พระองค์
"ท่านซูชี่มีบัญชาให้ข้าพระพุทธเจ้ามาปลดปล่อยองค์เหม็งฮั่วให้เป็นอิสระอีก เพื่อฝ่าบาทจะได้ทรงยกทัพกลับมาโจมตีท่านซูชี่อีก พระเจ้าค่ะ"
คราวนี้ กษัตริย์เหม็งฮั้วถึงกับทรงพระกันแสงดังก้องไปทั่ว น้ำพระเนตรไหลพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ต่อมา เมื่อมีโอกาสได้ทรงปฏิสันถารในฐานะเชลยศึกกับท่านซูชี่ พระองค์ทรงคุกเข่าลง ตรัสว่า "ท่านซูชี่ ท่านคืออัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งจากสรวงสวรรค์ ข้าฯ และทหารข้าฯ จะไม่มีวันรุกรานอธิปไตยของแคว้นชูฮั่นอีก"
ท่านซูชี่ทูลถามกษัตริย์เหม็งฮั่วว่า "พระองค์ทรงยอมแพ้จริงๆ แล้วหรือ?"
องค์เหม็งฮั่วตรัสตอบว่า "ท่านซูชี่ ท่านได้มีความปรานีต่อข้าพเจ้าและบุตรหลานทั้งหลายของข้าฯ มาตลอด นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง พวกข้าฯ จะไม่ยอมแพ้ท่านได้อย่างไรล่ะ"
องค์เหม็งฮั่วตรัสตอบว่า "ท่านซูชี่ ท่านได้มีความปรานีต่อข้าพเจ้าและบุตรหลานทั้งหลายของข้าฯ มาตลอด นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง พวกข้าฯ จะไม่ยอมแพ้ท่านได้อย่างไรล่ะ"
ท่านซูชี่สั่งจัดสมโภชสถาปนากษัตริย์เหม็งฮั่วขึ้นสู่บัลลังก์ แล้วถอนทัพกลับ จากนั้น องค์เหม็งฮั่วทรงกลายเป็นพันธมิตรที่อ่อนน้อม แต่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นชูฮั่น
นายทักษิณ ชินวัตร จะเก่งไม่แพ้กษัตริย์เหม็งฮั่ว โดยเฉพาะหากมีจิตสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินไทยและมีความพอเพียง โดยจะยังอยู่ในเมืองไทยและอภิรมย์อยู่กับอาณาจักรส่วนตัว เครื่องบินไอพ่นส่วนตัว และเพื่อนเล่นกอล์ฟมากมายไม่เว้นแต่ละวัน
แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดทุกวันนี้ ว่า นายทักษิณกลับกลายเป็น "นายใหญ่" ผู้แสดงเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์ชีวิตสุดแสนเศร้าน่าเวทนา เรื่อง "แดงทั้งแผ่นดิน" ม้วนเดียวจบ เห็นจะต้องติดตามดูด้วยใจระทึกต่อไป.
No comments:
Post a Comment