Saturday, June 26, 2010

อย่าสอนมวยมาร์ค 
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com

        หลังจากที่ได้ปะทะกันทางวจีกรรมและกายกรรมมาร่วม 2 เดือน กลุ่มเสื้อแดงก็ไม่สามารถขับไล่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ออกนอกประเท

       สื่อต่างชาติหลายรายได้แสดงมุมมองห่วงใยชาวชนบทจากภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเดินทางไกลไปชุมนุมในกรุงเทพมหานครกันมากมาย "โดยไม่ได้รับรางวัลสินจ้าง" จึงเสนอรัฐบาลไทยให้ช่วยเหลือชาวชนบทเหล่านี้ ซึ่งกำลังมีทุกข์ร้อนเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจริง ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงอีก

       สื่อเหล่านี้อาจไม่ทราบว่า ความเหลื่อมล้ำมีมานานแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร ในขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ใช้นโยบายประชานิยมเข้าแก้ไข ในทำนองเอา "ปลา" ไปแจกแถมในชนบท ผลก็คือ พ่อค้าขายปลาในเมืองร่ำรวยขึ้น แต่ชาวชนบทกลับดิ่งลึกลงสู่วัฏจักรความยากจนกว่าเดิม ทันทีที่ปลาหมด ปัญหาเหลื่อมล้ำจึงเปรียบเสมือนศัตรูที่อยู่ข้างกาย พร้อมที่จะทิ่มแทงผู้ใดที่เป็นนายกฯ อยู่ได้เสมอ แบบ "หอกข้างแคร่"

        เมื่อผู้ไม่หวังดีต่อส่วนรวมได้ฉวยโอกาสโยนบาปความเหลื่อมล้ำไปที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การไปร่วมชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มเสื้อแดงที่ กทม.จึงเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้

        จริงๆ แล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ลงนามในโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสำหรับชนบทมามากกว่านายกฯ ท่านอื่นใดภายในปีสองปีแรก ที่เข้ารับช่วงภารกิจกลางคัน ซึ่งตรงกับจังหวะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกด้วย ตามปกติกว่าที่โครงการดังกล่าวจะส่งผลเป็นรูปธรรม ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
 
       สิ่งที่น่าห่วงใยจริงๆ ได้แก่ กลยุทธ์ของ "ผู้ก่อการร้าย" ที่เที่ยวโกหกว่า นายกฯ อภิสิทธิ์เป็นต้นตอของความเหลื่อมล้ำ โดยอาจจูงใจด้วยการให้ความหวังว่า เมื่อไปชุมนุมที่ กทม.แล้ว จะมีคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย

       นอกจากนี้ สื่อต่างชาติหลายรายยังหลงเชื่อคำกล่าวของนายทักษิณที่ว่า ตนจะกลับไทยพร้อมกับนำ "ประชาธิปไตย" ที่ถูกอำมาตย์ย่ำยี กลับคืนสู่ประชาชนทั้งประเทศ จึงเสนอรัฐบาลให้ยึดมั่นในความเสมอภาค โดยหารู้ไม่ว่า "ประชาธิปไตย" ของไทยถูกฆาตกรรมทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ด้วยฝีมือการซื้อสิทธิเลือกตั้งอย่างแยบยล โดยนักการเมืองสามานย์ ซึ่งมุ่งหวังคอร์รัปชันทำมาหากินร่ำรวยยิ่งขึ้นในตำแหน่งทางการเมือง หลังชนะการเลือกตั้ง

       "ประชาธิปไตย" ของไทยจึงมีแต่เพียงโครงสร้าง หามีจิตวิญญาณไม่ นักการเมืองสามานย์จำนวนมากได้อาศัยโครงสร้าง "ประชาธิปไตย" เข้าสู่การทุจริตโกงกินและทำมาหากินมิชอบ โดยหามีใครสนใจในความทุกข์ยากของประชาชนผู้มีอำนาจเป็นใหญ่ไม่ 

       เราน่าจะมองการปะทะกันดังกล่าวอย่างไร?

       นายทักษิณกับนายกฯ อภิสิทธิ์ คือ "ผลผลิต" ของสังคมไทย ซึ่งประกอบด้วย ผู้คนทุกระดับชั้นที่ร่วมกันสร้าง "ค่านิยมทางสังคม" หล่อหลอมนายทักษิณและนายกฯ อภิสิทธิ์ ให้เป็น "ผู้ก่อปัญหา" หรือ "ผู้แก้ปัญหา"

       ใครจะดีชั่วย่อมสอบวัดได้จากการอยู่ไกลหรือใกล้ศีลธรรมคุณธรรมของศาสนา ยิ่งอยู่ไกลออกไปก็ยิ่งเป็นผู้ก่อปัญหา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเป็นผู้แก้ปัญหา โดยสำแดงออกทางพฤติกรรมที่บ่งบอกว่า ยึดค่านิยมใน "เงินทอง" หรือ "บุญกุศล" เป็นสรณะ หากยึดมั่นเงินทองมากกว่าก็เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ซึ่งก่อปัญหาลูกเดียว ทั้งต่อพวกเดียวกันและผู้อื่น ทำให้แตกความสามัคคีกันเสมอ หากยึด "บุญกุศล" มากกว่า ก็เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ซึ่งแก้ปัญหาให้กับทุกๆ คน เป็นประจำ

       ลัทธิแรก เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ "ซื้อขาย" กันได้ด้วยเงินทองของมีค่า ไม่ว่าจะเป็นชีวิตมนุษย์ คู่สมรส คำมั่นสัญญา อุดมการณ์ กลไกการเมือง ความหายนะของชาติ ฯลฯ ก็ตาม อีกทั้ง "มรรควิธี" ไม่สำคัญเท่ากับ "เป้าหมายส่วนตัว" ฉะนั้น บรรดาสัตว์เศรษฐกิจเชื่อว่า ใครจะสร้าง "อาณาจักรส่วนตัว" "ก่อการร้าย" ด้วยวิธีใด ไม่ผิดทั้งนั้น!

       ลัทธิหลัง เชื่อว่าทุกคนควรรับการฝึกฝนให้รู้จักกฎแห่งธรรมชาติ หรือความเป็นจริงที่จริงเสมอไป ใช้สติปัญญา ทำบุญสร้างกุศลไว้เป็นต้นทุนชีวิต พึ่งตนเองเป็น ไม่พึ่งเงินทอง ก้อนหิน โลหะ ต้นไม้ จิ้งจก ตุ๊กแก ฯลฯ ก็สามารถประสบความเจริญสุขได้ ตลอดจนสัมพันธ์กับเงินทองด้วยสติปัญญา จะได้ไม่ตกเป็น "ทาส" ของเงินทอง มองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เถียงผิดให้เป็นถูก หรือก่อการร้าย

       ในด้านการเมือง "การพึ่งตนเอง" หมายถึง การพึ่งสติปัญญาตน ไม่พึ่งเงินทองของมีค่าที่คนอื่นหยิบยื่นให้หรือให้ยืมแบบไม่ต้องคืน แต่ด้วยเงื่อนไขให้ไปทำอะไรสักอย่าง เช่น ให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้กับพรรคหรือนักการเมืองหนึ่งใด หรือก่อการร้าย เป็นต้น ผู้ที่ตกลงปลงใจด้วย อาจหน้ามืดไม่สนใจว่าเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมต่อส่วนรวมหรือไม่ เพราะรู้แต่ว่าไม่ต้องการฆ่าห่านที่วางไข่ทองคำให้ตน

       ขณะนี้ เป็นที่ชัดแจ้งแดงแจ๋แล้วว่า หากเราเลือก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ก็อยู่กับฝ่ายนายทักษิณ แต่หากเลือก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ก็อยู่กับนายกฯ อภิสิทธิ์

       จริงๆ แล้ว ใครจะใส่เสื้อสีอะไรก็อยู่กับนายทักษิณได้ สังคมไทยยังมีคนจำนวนมาก ที่ปากอาจด่านายทักษิณกับสมุนอีกทั้งเกลียดชังกลุ่มเสื้อแดง แต่ใจกลับฝักใฝ่นายทักษิณโดยมิรู้ตัว สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่ปราศจากจิตสำนึกว่า ตนคือสังคมของ "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ที่มุ่งทำลายชาติศาสน์กษัตริย์ และบุตรหลานตนตลอดไป

       ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่ตื่นจากภวังค์ สู่การเป็นสังคมที่ตื่น รู้จักศีลธรรมคุณธรรม สะสมบุญกุศล (มิใช่บุญกุศลเชิงพุทธพาณิชย์) และเป็นสาวกของ "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ตราบนั้น การก่อการร้ายที่เห็นๆ กันอยู่ จะหวนกลับมาอีกอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ด้วยความรุนแรงกว่าเดิม

       สื่อดังกล่าวเปรียบได้กับนิทานเรื่องชาวฮินดูตาบอด 6 คน ที่ผลัดกันลูบคลำลำตัว งา งวง ขา ใบหู และหางช้าง แล้วประกาศว่า "ช้างเหมือนกำแพงเป็นแน่แท้" "ช้างเหมือนหอกยาวแหลมมิต้องสงสัย" ฯลฯ ป่วยการที่จะไปสอนมวยแก่นายกฯ อภิสิทธิ์ ทุกวันนี้ เพียงภารกิจปกติของนายกรัฐมนตรีไทย ก็ได้ทำให้ความหล่อของท่านหายไปบ้าง ความเหลา (เล็กน้อย) เข้าแทนที่ก่อนวัยอันควร สงสารท่านเถอะ ขออย่าโทษท่านอีกเลย

       ว่าแต่ว่า ท่านเองตื่นจากภวังค์หรือยัง?

No comments:

Post a Comment