สุญญากาศมหาภัย
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 กล่าวถึงการปกครองของประเทศไทยว่าอยู่ “ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ที่น่าวิตกยิ่งก็คือ ปัจจุบัน ประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะชาวชนบท ซึ่งเป็นฐานเสียงข้างมากก็ยัง “ไม่พร้อม” ที่จะยื่นมือข้างหนึ่งของตนไปจับกับมือข้างหนึ่งของ “ประชาธิปไตย” เพื่อทำความรู้จักกัน ในขณะที่ราชอาณาจักรไทยยังไม่มีระบอบการปกครองอื่นใดรองรับแทนอยู่ ทั้งนี้ ก่อให้เกิด “ช่องว่าง” ที่ผู้ไม่หวังดีต่อ “ชาติศาสน์กษัตริย์” สามารถฉวยโอกาสอ้าง “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ทำการปล้นชาติขายเมืองได้ตามใจชอบ “ช่องว่าง” ดังกล่าวคือ “สุญญากาศมหาภัย” ของชาติบ้านเมือง
ทำไมจึงมองว่าประชาชนทั่วไปยังอยู่ในภาวะ “ไม่พร้อม”?
ใครที่ขับเคลื่อนรถยนต์เป็นอย่างเดียว ย่อมอยู่ในภาวะที่ยัง “ไม่พร้อม” ที่จะขับรถ จนกว่าจะเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎหมายจราจร จริยธรรม มารยาทตลอดจนความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยต่อส่วนรวมของการใช้รถใช้ถนน ฉันใด ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่หย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นอย่างเดียว ย่อม “ไม่พร้อม” ที่จะขับเคลื่อนกลไก “ประชาธิปไตย” จนกว่าจะเรียนรู้แนวคิดและปฎิบัติตามกติกาที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนของระบอบดังกล่าว ฉันนั้น
การเรียนรู้และการปฏิบัติดังกล่าวมิใช่ปัญหาของ “ประชาชน” แต่ประการใด อุปสรรคสำคัญของ “ประชาธิปไตย” อยู่ที่ปัจจัยอื่นๆ ดังจะได้กล่าวถึงใน “วิบากกรรมประชาธิปไตย” ต่อไป
นอกจาก “ประชาชน” จะ “ไม่พร้อม” แล้ว “ประชาธิปไตย” ยังถูก “ฆาตกรรม” อีกด้วย โดยนัยทางทฤษฎี ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงย่อมมี “สิทธิ์เสรีภาพ” ที่จะเลือกผู้แทนได้ตาม “ความสมัครใจ” ของตนเอง ในขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งย่อม “ไม่มีสิีทธิ์เสรีภาพ” ที่จะ “โน้มน้าวกดดันบังคับ” ผู้มีสิทธิ์ฯให้เลือกหรือไม่เลือกผู้ใด จะโดยการทวง “หนี้บุญคุณ” จากการ “อุปถัมภ์ส่วนตัว” ของผู้สมัครเอง พรรคการเมือง หรือนักการเมืองหนึ่งใด หรือโดยการมอมเมาประชาชนด้วย “ความเท็จหรือข้อมูลครึ่งเท็จครึ่งจริง” ที่ให้ร้ายป้ายสีคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม ก็ตาม
โดยนัยทางปฏิบัติ “สิทธิ์เสรีภาพ” ของผู้มีสิทธิ์ฯส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในชนบท ถูกลิดรอนอย่างแยลยล โดย “นักการเมืองสามานย์” ตลอดมา ด้วยการซื้อสิทธิ์ อุปถัมภ์ และโฆษณาชวนเชื่อ จนกลายเป็น “วัฒนธรรมการเมืองน้ำเน่า” ไปแล้ว คะแนนเสียงในบัตรเลือกตั้งจึง “มิได้” มาจาก “ผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรเลือกตั้ง” แต่มาจาก “ผู้ไม่มีสิทธิ์หย่อนบัตรเลือกตั้งของผู้อื่น” ที่ได้แอบเข้าไปก้าวก่ายกดดันบงการโดยตรง/โดยอ้อม ให้ผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรยินยอมคล้อยตามเงื่อนไขของผู้ไม่มีสิทธิ์หย่อนบัตรใบนั้น
ด้วยเหตุนี้ บัตรเลือกตั้งดังกล่าวจึงมีสถานะภาพที่ “ผิดกติกา” ทันที ส่งผลให้ “การเลือกตั้ง” ไม่ได้เกิดขึ้นตามกติกา เมื่อไม่มี “การเลือกตั้ง” โดยชอบ “ประชาธิปไตย” ก็ไม่เกิด พูดง่ายๆก็คือ
“ประชาธิปไตย” ถูก “ฆาตกรรม” ก่อนเกิดเรียบร้อยแล้ว
นักการเมืองสามานย์นิยมลงทุนซื้อ “สิทธิ์เสรีภาพ” ของประชาชน เพื่อจะได้ประสบชัยชนะจัดตั้งรัฐบาล แล้วฉวยโอกาสถอนทุน ทำการโกงกินเงินงบประมาณ และทำมาหากินแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าส่วนตัว ในตำแหน่งหน้าที่การงานสำหรับสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับส่วนรวม
อำนาจเงินทอง คือ อาหารเชื้อเพลิงของลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ ภาพ บักต์
นัึกการเมืองสามานย์เหล่านี้คือผลผลิตและสาวกของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ในสังคมไทย ซึ่งสอนให้บูชาเคารพนับถือ “เงินทอง” อย่าง “พระเจ้า” และ “ประมุข” แห่งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้สามารถตีราคาเป็น “เงินทอง” ซื้อขายกันได้หมด แม้กระทั่งชีวิตมนุษย์ ชีวิตแต่งงาน คำมั่นสัญญา ฯลฯ สาวกเชื่อกันว่าจะเสียชาติเกิดหากไม่ทุ่มเทเวลาแสวงหาครอบครอง “รางวัลรวบยอด” (jackpot) เข้ากระเป๋าส่วนตัว และยึดมั่นว่า “ชีวิตคือการรับลูกเดียว” จะมีการให้ก็ต่อเมื่อมี “เงื่อนไข” ที่ตนไม่ขาดทุนเท่านั้น โดยยึดหลัก “ตัวกู-ของกู” “ตัวใคร-ตัวมัน” ฯลฯ
ในการเลือกตั้งตามวาระหน้านี้ นักการเมืองสามานย์จะทุ่มเททุนทรัพย์จำนวนอภิมหึมาพญามหาศาล เพื่อซื้อเสียงเหมาหมดทุกภาคอย่างแยบยลกว่าทุกครั้ง บางส่วนของทุนก็ไดุ้ถูกใช้ไปแล้วทางวิทยุโทรทัศน์สิ่งพิมพ์ในสงครามแย่งชิงประชาชน เพราะเป็น “โอกาสเพชร” ที่จะต้อง “เผด็จศึกกำจัด” ศัตรูของสาวก “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” อย่างเด็ดขาดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะสถาปนาและกำ “รัฐไทยใหม่” ของสาวก “ลัึทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ไว้ใน “อุ้งมือเหล็ก” อีกนานเท่านาน
ธงไตรรงค์แห่งราชอาณาจักรไทย ภาพ ธนรัตน์
ชะตากรรมของ “ชาติศาสน์กษัตริย์” กำลังแขวนอยู่กับเส้นด้ายที่มีแต่ “สุญญากาศมหาภัย” หรือ “เหวนรก” รองรับอยู่ โดยสุ่มเสี่ยงกับมหันตภัยจาก “นักการเมืองสามานย์” ผู้เป็นสาวกของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” และกำลังทำการ “ล้มเจ้า ล้มอำมาตย์ ล้มรัฐบาลอำมาตย์” ด้วยเงินทองนับหมื่นล้านบาท
นายทักษิณ ชินวัคร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเยือนเกาะทองก้า มหาสมุทรแปซิฟิค ภาพ รอยเตอร์
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้ไต่เต้าในวงการเมืองอย่างรวดเร็วเกินกว่าปกติ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางมิชอบโดยกลุ่มชาวเมืองมาตลอด มักประกาศอยู่บ่อยๆว่า ตนเป็น “นักประชาธิปไตย” และสัญญาจะนำ “ประชาธิปไตย” กลับมาฝาก “พี่น้องประชาชนของผม” ในเร็ววันนี้
นายทักษิณจะสามารถทำตามสัญญาได้จริงหรือ?
ได้ แต่จะนำมาฝากได้แต่ “ซากศพประชาธิปไตย” เพราะ “ประชาฺธิปไตย” ตายก่อนเกิดเสียแล้ว ทั้งนี้ ด้วยฝีมือของนักการเมืองสามานย์ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ดังจะกล่าวถึงเพิ่มเติมใน “วิบากกรรมประชาธิปไตย” ต่อไป
พฤติกรรมของนักการเมืองสามานย์ดังกล่าว เตือนใจให้นึกถึงภาพยนตร์ตุ๊กตาทองเรื่องไซโค (Psycho) กำกับการแสดงโดยนายอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ปี 2505 ตัวแสดงเอกเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่้งในสหรัฐอเมริกา มีอาการหลงละเมออยู่กับ “ภาพหลอน” ว่า มารดาตน ซึ่งได้ถึงแก่กรรม “ตาย” จากไปนานแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ โดยจัดซากศพมารดาที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ให้นั่งอยู่กับ “เก้าอี้โยก” ในบ้านข้างโรงแรม แล้วไปนั่งสนทนากับซากศพมารดาในยามว่าง โดยมักเอ่ยถึงมารดาตนกับผู้อื่่นราวกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่
ฉากเจ้าของโรงแรมฆาตกรรมหญิงสาวผู้พัก ภาพ ไซโค
ฉากในภาพยนตร์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์สยองขวัญกับผู้ชมทั่วโลก ได้แก่ฉากที่ตัวเจ้าของโรงแรมย่องเข้าไปที่ห้องน้ำในห้องพักของหญิงสาวรายหนึ่ง แล้วใช้มีดแหลมคมยาวฆาตกรรมหญิงสาวในขณะที่เผลอตัวกำลังใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่ โดยฆาตกรมิรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะถูก “ภาพหลอน” มารดาครอบงำจิตตนอยู่ในชั่ววูบนั้น
นักการเมืองสามานย์มี “ภาพหลอน” อยู่ว่า “ประชาิธิปไตย” ของไทยยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่เป็นที่เลื่องลือกันว่า ตนกับพรรคการเมืองตนเป็นผู้พิฆาต “ประชาธิปไตย” ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน นักการเมืองเหล่านี้ก็มักเอ่ยถึง “ซากศพประชาธิปไตย” ราวกับว่าระบอบนี้ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้พลอยมองเห็น “ภาพหลอน” และบ้าจี้ตามด้วย
นักการเมืองผู้จงรักภัึกดีต่อ "ชาติศาสน์กษัตริย์" หลายท่านรู้ทัน “ภาพหลอน” ของบรรดานักการเมืองสามานย์ แต่ทำอะไรมากไม่ได้ ด้วยตกอยู่ในสภาพ “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ"
จริงๆแล้ว “ประชาธิปไตย” ของไทย มีแต่ “ชื่อกับโครงสร้าง” หามี “จิตวิญญาณ” ไม่ โดยอยู่ในสภาพ “ซากศพ” ที่นั่้งอยู่บน “เก้าอี้โยก” ดังกล่าว ซึ่งนักการเมืองสามานย์กำลังพยายามยกไปตั้งไว้ข้างเก้าอี้ตำแหน่งทางการเมืองในอนาคตของตน เพื่อจะได้นั่งสนทนากับ/เอ่ยถึง “ซากศพประชาธิปไตย” ในยามว่าง
“ซากศพประชาธิปไตย” บน “เก้าอี้โยก” ดังกล่าว คือเครื่องเตือนใจราชอาณาจักรไทยว่า การปล่อยให้นักการเมืองสามานย์หากินจาก “ซากศพ” ดังกล่าวไปเรื่อยๆ โดยไม่อนาทรร้อนใจที่จะนำระบอบการปกครองที่สอดคล้องกับ “ความเป็นไทย” มารองรับโดยด่วนที่สุด จะก่อให้เกิด “ช่้องว่าง” ที่ปราศจากระบอบการปกครองหนึ่งใด กล่าวคือ “สุญญากาศมหาภัย” ที่เป็นภยันตรายต่อ "ชาติศาสน์กษัึตริย์" อย่างยิ่ง
ระบอบที่สอดคล้องดังกล่าวได้แก่ระบอบใด จะได้กล่าวถึงใน “วิบากกรรมประชาธิปไตย” ต่อไป
ใครอยากคบหาสมาคมกับนักการเมืองสามานย์ที่สามานย์ปานนี้ ก็ขอให้ชมภาพยนตร์ดังกล่าวเตือนใจตนเองอีกสักครั้ง
นอกจาก “ประชาธิปไตย” จะถูกนัการเมืองสามานย์ใช้เป็น "ภาพหลอน" บ่้อนทำลาย "ชาติศาสน์กษัตริย์" แล้ว ยังถูกใช้อ้างเพื่อนำไปสู่การสถาปนา "รัฐไทยใหม่" ภายใต้ "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" อีกด้วย ทั้งนี้ เพราะยังไม่มีการสถาปนาระบอบการปกครองอื่นใดที่สอดคล้องกับ "ชาติศาสน์กษัตริย์" อย่างเป็นทางการ
ผู้รัก “ชาติศาสน์กษัตริย์” จริง ไม่มีสิทธิ์นั่้งทับมือเฉยแม้แต่ลมหายใจเดียว จงลุกขึ้นแสดงจุดยืนและความเก่งกาจจำเพาะตน ทำการต่อต้าน “นักการเมืองสามานย์” ก่อนที่จะสายเกินไป.
No comments:
Post a Comment