Wednesday, April 29, 2015

การอ่าน: วาระแห่งชาติ
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com



ห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา สถาปนามา 209 ปี ใหญ่ที่สุดในโลก ภาพ ฮูกาฮอลิค

นับเป็นข่าวน่ายินดีที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อ 6 ปีก่อน ได้ประกาศให้วันที่ 2 เมษายน 2552 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็น “วันรักการอ่าน” เพื่อเชิดชู "ทศวรรษแห่งการอ่าน" ตั้งแต่ปี 2552-2561 พร้อมทั้งส่งเสริมให้มี “การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ” โดยตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2555 คนไทยจะอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 10 เล่มต่อคน


“การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ” คือปัจจัยที่จำเป็นยิ่งสำหรับพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง "การอ่าน" หรือ "การเรียนรู้" เปรียบได้กับการหว่านเมล็ดพันธุ์พืชแห่งวิชาความรู้ความชาญฉลาดลงบนผืนดินแห่งจิตใจ เมื่อจิตใจได้หล่อเลี้ยงเมล็ดเหล่านี้จนกลายเป็นธัญพืชที่เจริญเติบโตเป็นอาหารทิพย์ทางใจแล้ว ผู้หว่านหรือผู้อ่านย่อมมีความรอบรู้ ความชาญฉลาด ตลอดจนความช่ำชองโลกเพิ่มขึ้น และสามารถก้าวทันโลกได้ดีขึ้น


"การอ่าน" คือทักษะอย่างหนึ่งที่ฝึกฝนได้อย่างทักษะอื่นๆ คือ ยิ่งเริ่มฝึกแต่ยังเยาววัยได้ ก็ยิ่งมีสมรรถภาพสูง ดูตัวอย่าง นายไทเกอร์วูดส์ นักกอล์ฟอาชีพระดับโลก ได้รับการฝึกเล่นกอล์ฟตั้งแต่อายุย่างเข้า 2 ขวบ และนางซาราชัง (โรเดสคิว) นักไวโอลินคลาสสิกฝีมือระดับโลก เริ่มฝึกสีไวโอลินตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เป็นต้น วัยเด็กเป็นวัยที่สามารถรับการหล่อหลอมทางจิตใจได้ดีกว่าวัยผู้ใหญ่ ฉะนั้น เด็กที่มีโอกาสได้เข้าถึงและอ่านสื่อพิมพ์ต่างๆ ตามวัยอันควร ย่อมมีความน่าเป็นไปได้ที่จะ "รักการอ่าน" ในวัยผู้ใหญ่ ได้มากกว่าเด็กที่ไม่มีโอกาสดังกล่าว


ผลจาก "การอ่าน" มีนานัปการ อย่างน้อยที่สุด ผู้อ่านจะมีโอกาสได้คุ้นเคยกับโลกเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว (เครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยวิทยุทางไกล) และโลกมนุษย์ที่กำลังแคบเล็กลงทุกวัน (กลุ่มอาเซียนกำลังบุกเบิกกิจกรรมพัฒนาสังคมเศรษฐกิจหว่างประเทศสมาชิกด้วยกัน) ฉะนั้น การอ่านจะสามารถตระเตรียมคนไทยให้เป็นชาวโลกที่ทันสมัย พร้อมที่จะรับประโยชน์จากโลกได้อย่างเต็มที่

น่าเสียดายยิ่งที่สังคมไทยโดยรวมยังไม่มี "ค่านิยม" ใน "การอ่าน" มากเท่ากับ "การบริโภควัตุสิ่งของบริการ" คนไทยจึงยังเป็นคนประเภท "จิตนิยม" น้อยกว่าประเภท "วัตถุเงินทองนิยม" ฉะนั้น ความมุ่งหมายให้ประชาชนหยิบหนังสือตีพิมพ์หรือเปิดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาอ่าน ปีละ 10 เล่มต่อคน นั้น จึงน่าจะยังเป็นปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นได้ยาก ยากไม่แพ้การปรากฏตัวของดาวหางบนท้องฟ้า


หนังสือพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุด 1 ใน 729 แผ่นหินอ่อน 3.5x5.5 ฟุต ประเทศเมียนมาร์ ภาพ วากอง

ทำอย่างไรจึงจะเพิ่มจำนวนเล่มหนังสืออ่าน ต่อคน ต่อปีได้?


"การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ" จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมี “ห้องสมุดประชาชน” ทำหน้าที่สนับสนุนรองรับ ห้องสมุดคือคลังเก็บข้อมูลความรู้ที่บันทึกไว้บนแผ่นกระดาษและในระบบดิจิตอล ในรูปแบบของเสียง ภาพนิ่ง ภาพยนตร์ ตลอดจนซีดี/ดีวีดี เมื่อห้องสมุดพร้อมที่จะรับใช้ประชาชน (พลเมืองเป็นใหญ่) การเข้าถึงคลังดังกล่าวและ "การอ่าน" ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างกว้างขวาง ในยามที่มีคนหิวข้าว แต่ไม่พบร้านอาหารเลย กิจกรรมรับประทานอาหารจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?


เมื่อมี “การอ่าน” แล้ว จิตใจก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป "จินตนาการ" ซึ่งประกอบด้วยมโนภาพ ความใฝ่ฝัน ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ จะตกผลึกเป็นกิจกรรมทดลองสำรวจ ประดิษฐ์คิดค้น ริเริ่ม ตลอดจนนวัตกรรม ส่งผลให้ผู้อ่านมีพลังขับเคลื่อนการพัฒนาตนเองและชาติบ้านเมืองต่อไป "นักเผด็จการเพื่อตัวเอง" ย่อมไม่นิยมห้องสมุด เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนมีความชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อจะได้กดขี่ต่อไปได้นาน


ดร.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ยอดอัจฉริยะ กล่าวไว้ว่า “อาหารเป็นปัจจัยจำเป็นต่อชีวิต ฉันใด จินตนาการก็จำเป็นต่อชีวิต ฉันนั้น”

เด็กร่ำรวยในเมือง ก็ดี เด็กยากจนในชนบท ก็ดี ต่างมี "พลังภายใน" หรือ "พลังขับเคลื่อนที่เกิดจากจิตตนโดยบริสุทธิ์และเอกเทศ" ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับอาหารทิพย์จาก "การอ่าน" ได้อย่างเท่าเทียมกัน (แข่งเรือแข่งพายพอแข่งได้) ธรรมชาติได้บันทึกพลังดังกล่าวไว้ในรหัสพันธุกรรม เพื่อมนุษย์จะได้พึ่งตนเอง (ตนของตนเป็นที่พึ่งแห่งตน) วิวัฒนาการตนสู่ระดับสูงขึ้นไป และไม่สูญพันธุ์




ห้องสมุดประชาชนกรุงบอสตัน แมสซาชูเซทส์ สหรัฐฯ ภาพ ธนรัตน์


โดยธรรมชาติแล้ว คนเรามี "ความอยากรู้" (curiosity) อยู่ในจิตวิญญาณ ทำให้ชอบ"สำรวจ" ค้นหาข้อมูลความรู้จากโลกรอบตัว ทว่า เมื่อไม่มี “ห้องสมุดประชาชน” ที่มี "คุณภาพกับปริมาณ" พอเพียงสำหรับตอบสนองความต้องการข้อนี้แล้วไซร้ “เด็กวันนี้” จะหันไปเผาผลาญเวลาอันมีคุณค่ายิ่งของตน ด้วยการไป "สำรวจ" โลกที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ มุมซุบซิบนินทาว่ากล่าวกันในสื่อสังคมออนไลน์ คอมพิวเตอร์เกม การแข่งรถบนถนนสาธารณะตอนค่ำ เพื่อดูว่าใครเก่งกว่าใคร ตลอดจนยาเสพติดให้โทษ


กิจกรรมเผาผลาญเวลาดังกล่าว ย่อมไม่เสริมสร้างสติปัญญาเลย แถมทำให้สิ้นเปลืองเวลาเงินทองและอาจบาดเจ็บสูญเสียชีวิตด้วย แต่ก็เป็นทางออกที่ "เด็กวันนี้" ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะขาด "ห้องสมุดประชาชน" เป็นพี่เลี้ยงกระตุ้นให้เกิด "ความสนใจ" ในวิชาความรู้หรือวิชาชีพหนึ่งใด ซึ่งจะดลใจให้มีการ "จับกลุ่ม" ทำกิจกรรมเสริมสร้างอื่นๆแทน ตามความสนใจที่ตรงกัน เช่น กลุ่มนักดนตรี นักร้อง นักกีฬา นักกวี นักอ่าน นักเขียน นักวรรณคดี นักประวัติศาสตร์ ตลอดจนกลุ่มผู้มีจิตอาสาสนใจช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น


แม้จะมีปัจจัยสี่อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ขาดอาหารทิพย์จาก "การอ่าน" แล้ว จิตวิญญาณของ "เด็กวันนี้" จะซูบซีดผอมโซอ่อนแอ มองเห็นโลกแต่ในวงแคบของ "วัตถุเงินทอง" เท่านั้น มองไม่เห็นโลกในวงกว้างออกไปของ "มนุษยชาติ" และจะกลายเป็นคนประเภท "ครึ่งคนครึ่งวัตถุ" ที่ไร้ชีวิตชีวา ไร้ความอบอุ่น ไม่รับรู้ ไม่เข้าใจคำว่ามนุษยชาติ ตรงกันข้าม "เด็กวันนี้" ที่ได้รับอาหารทิพย์ดังกล่าว จะกลายเป็นคนประเภท "คนเต็มตัว" ที่มีชีวิตชีวา มีความอบอุ่น เข้าใจคำว่ามนุษยชาติ และมีจิตสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบต่อตนเองและสังคมส่วนรวม


จิตวิญญาณที่ซูบซีดผอมโซอ่อนแอ มุ่งกอบโกยแต่ "วัตถุเงินทอง" แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นสู่ความร่ำรวยกับอำนาจเพื่อส่วนตัว ขนาด "ฟ้ามิอาจบังกั้น" นั้น คือ "ทาสแท้" และ "ธาตุแท้" ของ “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ที่รังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตกับร่างกายตัวเอง ส่งผลให้เจ็บป่วยเรื้อรังทั้งทางใจกับกาย บนความร่ำรวยยิ่งใหญ่ที่มีคนคอยป้อนยาป้อนน้ำด้วยช้อนทองฝังเพชร ดังตัวอย่างที่พบเห็นบ่อยๆ


โดยที่เป็นคลังแห่งข้อมูลความรู้ทั้งปวง เช่น วัฒนธรรม ศาสนา วรรณคดี ศิลปะ การดนตรี ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ สัตวศาสตร์ บรรพชีวินวิทยาปรัชญา ดาราศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ตลอดจนวิชาชีพต่างๆ เป็นต้น "ห้องสมุดประชาชน" จะสามารถจุดประกาย "ความอยากรู้" ท้าทายจิตวิญญาณของ “เด็กวันนี้” และอำนวยแสงสว่างให้ “ผู้ใหญ่วันหน้า” มองเห็นคำเฉลยอันชอบธรรมสำหรับตอบโจทย์ในชีวิต โดยเฉพาะรู้จัก “รักษาตัวรอดจากอวิชชาเป็นยอดดี” ทั้งนี้ เป็นการพัฒนา "ทรัพยากรมนุษย์" ที่จำเป็นยิ่งต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองทั้งทางจิตใจและวัตถุ

"ห้องสมุดประชาชน" จำต้องมี “บรรณารักษ์” ซึ่งสังคมไทยยังไม่ได้ให้การยอมรับในศักดิ์ศรีของอาชีพอย่างเหมาะควร ทั้งๆที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการนี้ รัฐบาลน่าจะพิจารณาจัดตั้งทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและเอก สาขาวิชา "บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์" อย่างพอเพียง สำหรับเล่าเรียนในสหรัฐฯ เพื่อรองรับ “การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ” อย่างสมจริง

การสำรวจรายหนึ่งในสหรัฐฯ พบว่า ประชาชนใช้บริการ "ห้องสมุดประชาชน" บ่อยกว่าโรงภาพยนตร์ถึงครึ่งเท่า สังเกตได้ว่า หลังเลิกเรียนแล้ว นักเรียนจะนิยมเข้าห้องสมุดประชาชนกันหนาตา เพื่อค้นหาหนังสือและใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูลความรู้ทางอินเตอร์เน็ต ทำการบ้าน เขียนรายงาน ยิ่งกว่านั้น ในช่วงบ่ายเย็นบางวัน บรรณารักษ์จะจัดรายการพิเศษ อ่านนิทานประกอบภาพให้เด็กระดับอนุบาลฟัง เพื่อเสริมสร้าง "จินตนาการ" และความคุ้นเคยกับห้องสมุดให้เกิดขึ้นกับเด็กน้อยเหล่านี้แต่เยาววัย



บรรณารักษ์กำลังเล่านิทานให้เด็กๆฟังที่ห้องสมุดซอกัส รัฐแมสซาชูเซทส์ สหรัฐฯ ภาพ ห้องสมุดฯ

“ห้องสมุดประชาชน” ของสหรัฐฯ เริ่มมีขึ้นเมื่อ 284 ปีก่อน ปัจจุบัน มีถึง 9,041 แห่ง (สถิติสถาบันพิพิธภัณฑ์และบริการห้องสมุด 2555) ทั่วสหรัฐฯ โดยมีเจตนารมณ์ส่งเสริมประชาชนให้มีความรอบรู้ ความชาญฉลาด นอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อชาติบ้านเมือง


นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมี “ห้องสมุดรัฐสภา” ที่ยังครองตำแหน่งแชมป์ห้องสมุดใหญ่ที่สุดของโลก ติดต่อกันมา 25 ปี โดยมีสิ่งตีพิมพ์ประเภทหนังสืออย่างเดียวนับได้ 23.5 ล้านเล่ม (มีภาษาไทยด้วย) และมีสื่อบันทึกประเภทอื่นๆอีกมหาศาล ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการศึกษาหาความรู้ของ "ผู้แทนราษฏร" เพียง 535 คน เป็นสำคัญ ประชาชนมีสิทธิ์เข้าไปใช้บริการได้ แต่ยืมหนังสือและสื่อต่างๆออกไปไม่ได้ รัฐใช้งบประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี (1 ต่อ 32 บาท) สำหรับบำรุงรักษาห้องสมุดยักษ์นี้


หาก "ผู้แทนราษฎร" ไทยไม่สนใจที่จะอ่านหนังสือหรือใช้ "ห้องสมุดรัฐสภา" อันทรงเกียรติที่สร้างด้วยเงินมหาศาลจากภาษีราษฎร ก็เป็นสิทธิ์และทางเลือกของเขา แต่บรรดาราษฎรชั้นสูงและข้าราชการเกษียณงาน ผู้มี "จิตสำนึกต่อสังคมกับแผ่นดิน" ที่ได้อำนวยโอกาสให้ตนได้รับสิ่งดีงามนานาประการ น่าจะช่วยกันสร้างหรือเสริมสร้าง "ห้องสมุดประชาชน" อย่างน้อยหนึ่งแห่งต่อจังหวัด เพื่อให้ประชาชนทุกวัยได้มีโอกาสพัฒนาวิชาความรู้ความช่ำชองโลกให้กับตนเอง เริ่มก้าวสู่การปฏิวัติตนเอง และพึ่งพิงตนเอง โดยไม่ต้องคอยพึ่งพา "ผู้แทนราษฎร" ให้ชักนำตนไปตามวาระซ่อนเร้นของนักการเมืองอย่างเคย

การปลูกป่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ฉันใด การเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการสร้าง "ห้องสมุดประชาชน" ก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ฉันนั้น

ทั้งนี้ "ผู้แทนราษฎร" ในอนาคต จะได้ตื่นตัวพากันหันหน้าเข้าไปศึกษาวิจัยใน "ห้องสมุดรัฐสภา" อันทรงเกียรติบ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าเด็กๆทั้งหลายที่พากันเข้าไปใช้บริการ "ห้องสมุดประชาชน" กันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ.



สมัชชาพลเมืองกับสภาพลเมือง
โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต


คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ร่างแรก โดยระบุเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไว้ 4 ข้อ คือ สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข


นับเป็นข่าวน่ายินดีที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2558 มีเจตนารมณ์อันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยอยู่ข้อหนึ่ง คือ "สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่" เพราะพลเมืองหรือปวงชนตามระบอบนี้คือผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแห่งแผ่นดินไทย โดยมุ่งหมายให้มีบทบัญญัติประมวลกฎหมายท้องถิ่น ให้กระจายอำนาจสู่พลเมืองเพิ่มขึ้น


กลยุทธ์ของการกระจายอำนาจตามร่างรัฐธรรมนูญนี้อยู่ที่การจัดตั้ง "สมัชชาพลเมือง" ขึ้นมา เพื่อให้มีส่วนร่วมตัดสินใจดำเนินงานกับ "ผู้มีอำนาจ" สมัชชานี้ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากองค์ประกอบหลากหลายพลเมืองในท้องถิ่น และมาจากการสมัครใจที่ไม่รับผลตอบแทนใดๆ สำหรับการใช้เวลาหรือทรัพยากรส่วนตัว ทั้งนี้ เป็นองค์กรที่จำกัดอยู่กับการแสดงความคิดเห็นหรือชี้แนะ โดยมุ่งหมายให้ฝ่าย "ผู้มีอำนาจ" มาหารือกับตนในฐานะตัวแทนประชาชน


พูดง่ายๆ ก็คือ สมัชชาพลเมืองเปรียบได้กับแมวที่มีหน้าที่คอยจับตาป้องปรามหนูที่ชอบขโมยของกินของใช้ในบ้าน แม้ว่าแมวจะมีสิทธิ์เรียกร้องให้หนูมาพูดคุยกับตน เพื่อให้เกิดความเจริญสุขในบ้าน แต่หนูบางตัวก็คือหนูที่เกิดมาเพื่อแอบทำลายข้าวของส่วนรวมที่ขวางหน้าอยู่ ฉะนั้น แมวกับหนูจะพูดคุยกันอย่างไรๆ ก็สิ้นสุดกันที่ "น้ำลาย" เท่านั้น ส่วน "น้ำมือ" จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างไรหรือไม่นั้น ก็อาจเป็นแค่ความใฝ่ฝัน


หนูบางตัวก็แสนฉลาด รู้จักเอาใจแมวสารพัด จู่ๆ ก็อาจมีหนูใจดีแต่เป็นหนูขี้อายไม่ประสงค์จะออกนาม เที่ยววาง "ข้าวยาปลาปิ้ง" กลิ่นหอมฉุยสุดรัญจวนกวนใจยิ่งทิ้งไว้ทั่วบ้าน ต่อให้เป็นแมวระดับใกล้อรหันต์ เมื่อเจอภาวะ "สวรรค์บนดิน" จะหนึ่งหรือหลายครั้งก็ตาม ตบะก็มีสิทธิ์กลายเป็นหม้อดินที่เปราะแตกได้ง่าย ไม่ช้าก็เร็ว


อย่าลืมว่า แมวหรือหนูโดยทั่วไปต่างก็อยู่ภายใต้ "กฎแห่งธรรมชาติ" เดียวกัน
อย่าได้แปลกใจเลยที่อาจมีแมวบางตัวที่ได้กิน "ข้าวยาปลาปิ้ง" เข้าไปแล้ว ก็รู้สึกอิ่มหมีพีมันสุดๆ ก้าวเดินได้สองสามก้าวก็ล้มตัวลงนอน อ้าปากหาวหวอดๆ แม้จะชายตามองเห็นหนูตัวเล็กๆ ตาดำๆ ตัวดำๆ วิ่งผ่านสายตาจากซ้ายไปขวา พร้อมมีของคาบคาอยู่ในปาก เจ้าแมวก็อาจเกียจคร้านเกินไปที่จะลุกขึ้นไปเชิญชวนเจ้าหนูมานั่งจับเข่าคุยกัน แต่จะทำเป็น "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" หรือทำเป็น "ขยันโง่" ขึ้นมาเสียฉิบ ส่วนเจ้าหนูนั่นก็อาจคายของลงบนพื้นชั่วคราว หันหน้าไปแยกเขี้ยวจุ๋มจิ๋ม อวดลิ้นสีแดง ส่งยิ้มให้กับแมว แถมยกเท้าหน้าขวาแสดงท่าไฮไฟว์ก่อนหายลับตาไปอีกด้วย

สมัชชาพลเมืองนี้เปรียบได้กับ "ขวดเหล้าใหม่" ที่ กมธ.ยกร่างฯ ได้บรรจงสร้างขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์ที่ดีน่าสรรเสริญ แต่ขวดเหล้าใหม่นี้จะมีประโยชน์แน่แท้ปานใดก็ขึ้นอยู่กับ "เหล้า" ที่จะบรรจุเข้าไปอยู่ในขวดนั้น หากเป็นเหล้าดีในขวดดีสวยงาม ปวงชนก็จะได้ "เหล้าใหม่ในขวดใหม่" อันทรงคุณค่าและประโยชน์ ทว่า หากเป็นเหล้าที่พร่องในคุณภาพ ปวงชนเองก็จะได้ "เหล้าเก่าในขวดใหม่" ซึ่งจะไม่อำนวยความสมหวังตามเจตนารมณ์


เรื่องคุณภาพนั้น จำต้องใช้ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง คือ "เวลา" ที่พอเพียง เหล้าองุ่นจะดีมีคุณภาพสูงย่อมต้องได้รับการบ่มมานานพอ โจทย์ที่จะต้องตอบให้ในขณะนี้ คือ เราได้ใช้เวลาพัฒนาพลเมือง นักลงทุน นักการเมือง ตลอดจนข้าราชการทั้งหลายทั้งปวงให้ "ก้าว" สู่ความมีคุณภาพอย่างพอเพียงหรือยัง? สู่การเป็นนักประชาธิปไตยที่กอปรด้วยคุณธรรมกับจริยธรรมหรือยัง?


จริงๆ แล้ว การสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่นั้น ไม่จำต้องจำกัดอยู่กับการให้พลเมืองมีสิทธิ์เข้าไปดูแลหรือร่วมตัดสินใจในการทำงานกับ "ผู้มีอำนาจ" โดยเฉพาะกับนักการเมืองทุกระดับ ซึ่งมีความสามารถสูงในการแสดงละครน้ำเน่าที่มีแต่การลดแลกแจกแถม เพื่อยึดอำนาจอธิปไตยให้ได้ภายในเวลาสี่วินาที ในช่วงที่พลเมืองพากันเข้าแถวไปหย่อนบัตรเลือกตั้งให้กับตน


พลเมืองสามารถเป็นใหญ่ได้ทันที โดยมิต้องทำอะไรเลยก็ได้ หากรัฐธรรมนูญเพียงแต่มีบทบัญญัติที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ขั้นพื้นฐานโดยชอบของพลเมือง ให้ปลอดภัยจากการละเมิดกฎหมายบ้านเมืองหรือจริยธรรมโดยผู้มีอำนาจ ในรูปแบบโกงกินขายชาติ และหากข้าราชการเพียงแต่ทำตามหน้าที่รับผิดชอบลงโทษผู้ละเมิดให้หนักหนาสาสมกับความผิด ซึ่งจริงๆ แล้วเทียบเท่าได้กับการเป็นกบฏต่อชาติบ้านเมืองทีเดียว


ประเทศหนึ่งที่เอาจริงเอาจังในเรื่องกำจัดโรคโกงกินขายชาติได้แก่ประเทศจีน ผู้มีอำนาจใดที่มีเงินทองทรัพย์สินมากผิดสังเกตภายในระยะเวลารวดเร็วปานฟ้าแลบ จะได้รับการสอบสวนทันที ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกันระหว่างพลเมืองกับผู้มีอำนาจ ในกรณีที่พบความผิดจริงก็จะมีการลงโทษอย่างจริงจังทันที หากผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปต่างประเทศก็จะทำการไล่ล่าสุดขอบฟ้ากันทีเดียว


ในปี 2557 รัฐบาลจีนได้ขอให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจับกุมและส่งกลับอดีตผู้มีอำนาจจีนจำนวน 150 คน ด้วยข้อหาประกอบ "อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ" ต่อชาติบ้านเมือง ทั้งๆ ที่ทั้งสองประเทศนี้ต่างก็ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน


พลเมืองจะเป็นใหญ่อีกทางหนึ่งได้ทันที โดยให้มีบทบาทในการดูแลเสริมสร้างสังคมเศรษฐกิจในชุมชนตนด้วยตนเอง เพื่อให้มีการอยู่ดีกินดี คือ รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติส่งเสริมสนับสนุน ตลอดจนคุ้มครองให้พลเมืองมีสิทธิ์โดยชอบที่จะรวมตัวกันในระดับ "รากหญ้า" ในแต่ละตำบลหรือหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยเป็นการรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ ไม่มีการตอบแทนเวลาหรือทรัพยากรใดๆ ที่ได้ใช้ไปกับการรวมตัวกันนี้


เจตนารมณ์ของ "กลุ่มรากหญ้า" นี้ อยู่ที่การมีโอกาสได้พิจารณาตัดสินใจที่จะกระทำหรือไม่กระทำการใดๆ เพื่อยกระดับพื้นฐานทางสังคมเศรษฐกิจในชุมชนตนให้สูงขึ้นไป เช่น ให้มีการฝึกฝนเล่าเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิชาชีพที่ทันสมัย และให้มีการผลิตและบริการที่สามารถเพิ่มรายได้และยกระดับมาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น เป็นต้น


ในระยะแรกเริ่ม "กลุ่มรากหญ้า" นี้ จำต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยราชการต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในด้านความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการก่อตั้ง โครงสร้าง หน้าที่ ตลอดจนการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว


กลุ่มรากหญ้านี้ ขอเรียกว่า "สภาพลเมือง" โดยพลเมืองในชุมชนเลือกตัวเองเข้าไปช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างสรรค์ความเจริญสุขให้กับชุมชนตน ในช่วงแรก อาจมีพลเมืองที่ลังเลใจ เพราะยังไม่เข้าใจในหลักการปกครองตนเองด้วยตนเอง ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรหนึ่งเดียว แต่คุ้นเคยชินชากับการบริการสำเร็จรูปตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลโกงกินขายชาติ ที่มุ่งมั่นให้พลเมืองเป็นผู้คล้อยตามผู้มีอำนาจลูกเดียว ตามระบอบอัตตาธิปไตย


อย่างไรก็ตาม เมื่อพลเมืองในบางชุมชนมีโอกาสรวมตัวกันเป็น "สภาพลเมือง" และมีผลงานน่าชื่นชมแบบ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" แล้ว บางชุมชนที่ลังเลอยู่และเริ่มมองเห็นผลงานดังกล่าว ก็อาจยอมรับมาเป็นตัวแบบได้ไม่ช้าก็เร็ว


ในทุกสังคมย่อมมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันอยู่ กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีอยู่ด้วยกันก็คือ "ความต้องการที่จะพัฒนาตนเองสู่ความเจริญสุข" การได้รวมตัวกันระดับรากหญ้า ภายใต้การดูแลใกล้ชิดและการชี้แนะจากหน่วยราชการ ย่อมมีโอกาสที่จะประสบผลดีได้มากกว่าการรวมตัวกันแบบตัวใครตัวมันหรือภายใต้ "การชี้นำ" โดยผู้ไม่หวังดีแต่ผู้เดียว ซึ่งก็กำลังเกิดขึ้นอยู่กับบางชุมชนในชนบทอยู่แล้ว และเมื่อยิ่งมีตัวบทกฎหมายที่ลงโทษผู้ไม่หวังดีต่อ "สภาพลเมือง" กำกับดูแลอยู่ โอกาสที่ "สภาพลเมือง" จะประสบความสำเร็จก็จะยิ่งมีมากขึ้น


ในโลกที่ไม่สมประกอบและลุ่มหลงอยู่กับ "วัตถุเงินทองนิยม" นี้ ไม่มีทางเลือกใดที่สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง แต่ละทางเลือกย่อมมีข้อดีข้อเสียปะปนกันอยู่ แต่จะมีบางทางเลือกที่อำนวยผลตอบแทนในทางมงคล ที่คุ้มค่ามากกว่าทางเลือกอื่นอย่างที่ไม่ยอมทำอะไรเลยเนื่องด้วยความกลัวผิด ซึ่งเป็นทัศนคติที่ทำลายตัวเองยิ่งกว่าภัยใดๆ จากภายนอกตัวเองทั้งหมด


การให้พลเมืองเป็นใหญ่ด้วยการโอนบทบาทคอยจับผิดผู้อื่นให้นั้น มิใช่กลยุทธ์ที่ยั่งยืน เพราะอาจทำให้ผู้มีอำนาจที่มีความสุจริตใจไม่สามารถทำงานให้สัมฤทธิผลได้ เนื่องจากถูกจดจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา กลายเป็น "ดาบสองคม" ที่ฟันทั้งคนดีและคนชั่วได้พร้อมกัน นอกจากนี้ การจับผิดผู้อื่นนั้น ทุกสังคมมีสถาบันที่ทำหน้าที่นี้ด้วยฝีมือระดับมืออาชีพอยู่แล้ว จะมัววุ่นวายไปไย?


ส่วนการให้พลเมืองเป็นใหญ่ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้พลเมืองรวมตัวกันเป็น "สภาพลเมือง" นั้น ได้แก่การปฏิบัติตามวัฒนธรรมของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ให้พลเมืองเป็นใหญ่ในการกำหนดวิถีชีวิตตน ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหนึ่งเดียว

ในการนี้ "สภาพลเมือง" จะทำหน้าที่กระจายอำนาจจากส่วนกลาง โดยถ่วงดุลกับ "สภาผู้แทนราษฎร" ในรัฐสภา และจะได้ไม่ต้องนิ่งเฉยคอยแบมือรับอะไรต่อมิอะไรก็ได้ ตามที่รัฐสภาหรือรัฐบาลจะโปรดปรานหยิบยื่นมาให้ ทั้งนี้ พลเมืองจะได้ช่วยผ่อนคลายภารกิจทางส่วนกลางลงได้อีกด้วย


โจทย์ในที่นี้ คือ จะให้พลเมืองเป็นใหญ่ด้วยการให้คอยจับผิดผู้อื่น หรือจะให้พลเมืองเป็นใหญ่ด้วยการให้ลงมือป้องกันแก้ไขปัญหาสังคมเศรษฐกิจในชุมชนตน ที่ตนรู้ดีกว่าบุคคลภายนอกด้วยตนเอง เพื่อจะได้ลดบทบาทของรัฐบาลโกงกินขายชาติ ที่อาจเข้ามาทำมาหากินสร้างอาณาจักรส่วนตัวตามกลยุทธ์มอมเมาพลเมืองด้วยนโยบายประชานิยมอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีก.

กตัญญูกตเวที โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต dhanarat333@gmail.com



ภูมิ เว สัปปุริสานัง กตัญญูกตเวทิตา
ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี
                        พระพุทธเจ้า


โลกอาจรอดได้แม้เพราะกตัญญูกตเวที
                 พุทธทาส อินทปัญโญ

ไม่มีใครมีไม้กายสิทธิ์สำหรับเนรมิตความเจริญสุขให้กับตนได้ แต่ทุกคนมี “พลังกายสิทธิ์” ซึ่งได้แก่ “กตัญญูกตเวที”


ศาสนาระดับโลกทั้งหลายมีคำสั่งสอนตรงกันอยู่ข้อหนึ่ง คือ มวลมนุษย์พึงปฏิบัติต่อกันด้วย “เมตตาจิต”


ทว่า ในโลกเทคโนโลยีของ “วัตถุเงินทองนิยม” มวลมนุษย์มีความหวงแหนในวัตถุเงินทองมาก เพราะ หามาได้ด้วยความลำบากยากยิ่ง เมตตาจิตจึงกลายเป็นความหรูหราฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นในโลกที่ผู้คน นิยมแข่งขันกันบริโภคเพื่อมิให้น้อยหน้าชาวบ้าน


เมตตาจิตคือจิตปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นเป็นสุข โดยการให้ถ้อยคำสิ่งมงคลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยความเต็มใจปราศจากเงื่อนไข ทำให้ผู้รับมี “กตัญญู” ความรู้สึกซาบซึ้งในเมตตาจิตนั้น และมี “กตเวที” ความรู้สึกต้องการตอบแทนการทำบุญ ทำคุณต่อตน เพื่อยกย่องนับถือน้ำใจนั้นด้วย “ความจริงใจ”


กตัญญูกตเวทีก็คือ “ความรู้สำนึกในบุญคุณและได้ตอบแทนให้ปรากฏ” ต่อต้นกำเนิดของ “บุญคุณ” เช่น บิดามารดาผู้ให้การอุปการะเลี้ยงดูฝึกอบรมเรามาแต่เกิด แผ่นดินที่อำนวยโอกาสให้เราได้รับสรรพสิ่งอันมีคุณค่ากับราคามาตลอดชีวิต ประชาชนผู้ให้โอกาสนักการเมืองได้รับการเลือกตั้ง แม้กระทั่งศัตรูคู่ปรปักษ์ผู้ทำให้เราต้องปรับปรุงสมรรถภาพตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เป็นต้น


นักจิตวิทยาสมัยนี้มีผลวิจัยเกี่ยวกับกตัญญูกตเวทีมากมาย พอสรุปได้บ้าง ดังนี้


ศาสตราจารย์จิตวิทยา จี โบโน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยนักเรียนอายุ 10-14 ปี จำนวน 700 คน ติดต่อกัน 4 ปี เกี่ยวกับ “กตัญญูฯ” ซึ่งกำหนดนิยาม เชิงวิทยาศาสตร์ไว้เป็น “การมองโลกเชิงเสริมสร้าง”


ดร.โบโนพบว่า ในปีที่สี่ กลุ่มผู้ได้คะแนนกตัญญูฯในระดับ 20% บนสุด มองเห็นความหมายในชีวิตตนและมีความพอใจในชีวิตตนเพิ่มขึ้น 15 % มีอารมณ์ทำลายลดลง 13 % มีจิตโศรกซึมลดลง 15 % ในขณะที่มีความสุขและความหวังในชีวิตเพิ่มขึ้น 17 % จากปีแรก และพบว่า ผู้มีคะแนนกตัญญูฯสูงมักเป็นผู้มี พฤติกรรมคดโกง ใช้สุรายาเสพติด และฝ่าฝืนระเบียบ กฎเกณฑ์ในจำนวนน้อยคนเท่านั้น


ดร.โบโนสรุปว่า “กตัญญูกตเวทีคือคุณธรรมเด่นชัดที่สังคมจำต้องทำการปลูกฝังไว้ในบุตรหลาน เรา เพื่อช่วยกันเสริมสร้างโลกใบนี้ไว้”


รองศาสตราจารย์จิตวิทยา เจ ฟรอช์ มหาวิทยาลัยฮอฟสตร้า รัฐนิวยอร์ก ได้ทำการวิจัยนักเรียนอายุ 14-19 ปี 1,035 คน พบว่า ผู้มีกตัญญูฯเด่นชัด มักทำคะแนนเฉลี่ยสะสมผลการเรียนได้สูงกว่า มีความพอใจในชีวิตตนมากกว่า มีการสมาคมสังสรรค์บ่อยกว่า มีความอิจฉาริษยาน้อยกว่า และมีวัตถุนิยมน้อยกว่าเพื่อนๆ ที่มีคะแนนกตัญญูฯน้อยกว่าตน และพบว่ากตัญญูฯมีอิทธิพลสูงกว่าวัตถุนิยมต่อชีวิตประจำวันของวัยรุ่นเหล่านี้


ดร. ฟรอช์ ชี้แนะไว้ว่า “วิธีเยียวยาวัตถุนิยมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งได้แก่การฝึกฝนวัยรุ่นให้มีความรู้สึกขอบ คุณซาบซึ้งใจในสิ่งที่ตนมีอยู่”


ดร. อาร์ เอ็มมอนส์ ศาสตราจารย์จิตวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เดวีส สรุปผลวิจัย ของตนไว้ว่า “ผู้มีกตัญญูฯมักแสดงอารมณ์เสริมสร้าง คือ มีความเบิกบานใจ ความกระตือรือร้น เมตตาจิต ความสงบสุข และการมองในแง่ดีมากกว่าผู้ไม่มี อีกทั้ง สามารถยับยั้งอารมณ์ทำลายล้างที่เกิดจากความอิจฉาริษยา ความขุ่นเคือง ความโลภ และความขมขื่นใจ ของตน”


วารสารบุคลิกภาพและจิตวิทยาทางสังคม เสนอ ไว้ว่า ผู้ที่ทำบันทึกสรรพสิ่งดีงามที่ตนได้รับหรือที่มีอยู่ ในโลกนี้ ด้วยความรู้สึกขอบคุณเป็นประจำ มักมองเห็นความสดชื่นในชีวิตและนึกคิดในเชิงเสริมสร้างได้มากขึ้น วารสารจิตวิทยาประยุกต์:สุขภาพกับความอยู่ดีมีสุขรายงานว่า เมื่อได้ใช้เวลา 15 นาทีก่อนนอน ระลึกถึงและบันทึกสรรพสิ่งดีงามที่เราได้รับด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ให้ เราจะสามารถหลับได้รวดเร็วและยาวนานกว่าไม่ได้ทำ


วารสารความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเสนอว่า เมื่อ สามีภรรยาได้แสดงต่อกันถึงความซาบซึ้งใจในสิ่งดีงามที่ต่างได้รับจากกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาเข้มแข็งยิ่งขึ้น


วารสารหทัยวิทยาอเมริกันรายงานว่า เมื่อได้แสดงความรู้สึกขอบคุณและอารมณ์เสริมสร้างออกมา เราจะสามารถช่วยอภิบาลการเต้นของหัวใจได้


นอกจากนี้ ยังมีวิจัยอื่นๆ ที่พบว่า กตัญญูฯสามารถ ช่วยนักกีฬาไม่ให้เหนื่อยล้าอ่อนแรงได้ง่าย สร้างความ พอใจในระดับสูงต่อตนเองและทีมกีฬาตน และเสริมภูมิคุ้มกันต่ออารมณ์ทำลายล้างที่เกิดขึ้นเมื่อประสบ กับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง


เหตุใดกตัญญูฯจึงอำนวยแต่สิ่งดีงามแก่เรา?


เราต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นนับแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เมื่อเกิดมาแล้ว เรายังต้องพึ่งพาบิดามารดา ผืนแผ่นดินที่อาศัยอยู่ ตลอดจนผู้อื่นๆ ในสังคม โดยต่าง พึ่งพากันและกันเป็นคู่ๆ เช่น คู่แพทย์กับชาวนา คู่ชาวนากับนักการเมือง และคู่นักการเมืองกับราษฎร เป็นต้น


นอกจากนี้ เรายังได้พึ่งพาบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย ชาวเอเชียและอินเดียนแดงสืบทอด ประเพณีนิยมเก่าแก่นับพันๆ ปีที่ให้แสดงคารวะต่อบรรพชน เพราะตระหนักดีว่า ทุกคนเกิดมาด้วย “บารมี” ของบรรพชนผู้ได้ฟันฝ่าชีวิตด้วยสุขกับทุกข์ และได้สละ ชีวิตต่อสู้กับภัยต่างๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่นมาแล้ว


นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบว่า บรรพชนโบราณเริ่ม ลุกขึ้นยืนแล้วเดินด้วยสองขาหลังเมื่อราวสี่ล้านปีก่อน และมีมันสมองที่เริ่มทำงานอย่างในปัจจุบันเมื่อราวแสนกว่าปีนี้เอง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ผ่านการวิวัฒนาการมายาวนานและบันทึกเป็นมรดกสืบทอดมาในรหัสพันธุกรรมของเรา ส่งผลให้เราเป็นสัตว์ประเสริฐที่มี สมรรถภาพสูงกว่าสัตว์โลกอื่นๆ มิฉะนั้น เราก็จะยังเป็นสัตว์เดรัจฉานเลื้อยคลานอยู่อย่างตัวหางแดงนั่น


เมื่อเราจำต้องพึ่งพากันดังกล่าวแล้ว กตัญญูฯ คือ พลังจากธรรมชาติภายในตัวเราที่สนับสนุนให้เราหันหน้าเข้าหากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติเอง


แล้วทำไมโลกนี้จึงยังมีคนอกตัญญูอยู่อีก?


เรายังมีผู้ที่หลงผิดอยู่ว่า วัตถุบนโลกนี้ล้วนซื้อขาย แลกเปลี่ยนด้วยเงินทองตามความพอใจได้หมด แม้ กระทั่งชีวิตมนุษย์ จึงไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร กตัญญูฯก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระ มีแต่เรื่องทวงหนี้สินกันเท่านั้น


ผู้หลงผิดบูชาและเป็นทาสของวัตถุเงินทอง คือผู้ ที่ตาบอดมองไม่เห็น “คุณธรรม” หรือ “กตัญญูฯ” ที่ “ค้ำจุน” โลกใบนี้อยู่ เสมือนบัวใต้น้ำที่จมอยู่ที่ก้นบึ้ง อยู่กับความมืดมิดขุ่นมัวของโคลนตม ทำให้มองไม่ เห็น “แสงธรรม” ที่ฉายแสง “คุณธรรมกตัญญูฯ” อยู่ บนผิวน้ำ


ผู้หลงผิดดังกล่าวได้แก่ “คนอกตัญญู” ที่ชวสกุณชาดกเตือนไว้ว่า “กตัญญูกตเวทีไม่มีในคนใด การคบกับคนนั้นก็ไร้ประโยชน์”


แม้ว่าผู้มีเมตตาจิตจะไม่อยู่หรือไม่ประสงค์จะรับการตอบแทนบุญคุณ เราก็ย่อมสามารถที่จะทดแทนการตอบแทนนั้นได้ด้วยการแสดงเมตตาจิตต่อผู้อื่นที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่


ไม่มีใครมีไม้กายสิทธิ์สำหรับเนรมิตความ เจริญสุขให้กับตนได้ แต่ทุกคนมี “พลังกายสิทธิ์” ซึ่งได้แก่ “กตัญญูกตเวที” ที่มีศักยภาพเสริมสร้าง “สวรรค์บนดิน” ให้แก่ตนและผู้อื่นได้


ซิเซอโร่ นักปราชญ์นักการเมืองชาวโรมันสมัย 21 ศตวรรษก่อน ประกาศไว้ว่า “หัวใจของกตัญญูกตเวทีมิได้เป็นเพียงหัวใจของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นหัวใจอันเป็นบ่อเกิดของคุณธรรมทั้งปวงด้วย”


กตัญญูกตเวทีก็คือพรจากธรรมชาติที่ช่วยให้มวลมนุษย์สามารถอยู่ด้วยกันอย่างเจริญสุขได้.

วัฒนธรรมพาณิชย์

โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต
dhanarat333@gmail.com


เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 นายโมฮาเหม็ด บูอาซิซิ ชาวตูนิเซียวัย 26 ปี จุดไฟเผาตัวเองหน้าที่ทำการของผู้ว่าการท้องถิ่น เพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมในสังคมนายโมฮาเหม็ดเป็นชายโสดยากจน มีอาชีพเร่ขายผลไม้สดมาแต่เยาว์วัย นอกจากลูกค้าขาประจำแล้ว บางวันก็มีตำรวจคอยเข้ามารังควาน โดยกุข้อหาไม่มีใบอนุญาต ซึ่งจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมี แล้วขู่กรรโชกเรียกสินบน

ต่อมานายโมฮาเหม็ดยอมลงทุนกู้หนี้ยืมสิน ได้เงินมาก้อนหนึ่งราว 6,000 บาท แล้วนำไปซื้อผลไม้สดหลากหลายมากขึ้นมาขายและซื้อเครื่องชั่งอย่างดีมาใช้ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาอุดหนุนเพิ่มขึ้น

เช้าวันที่ 17 นั้น นายโมฮาเหม็ดเข็นรถเร่โฉมใหม่ออกประเดิมขายตามเส้นทางเดิม สักครู่ตำรวจก็เข้าไปกุข้อหาไม่มีใบอนุญาตอีก เมื่อไม่ได้ "ค่าปรับ" ตำรวจก็ยึดผลไม้ เครื่องชั่งกับรถเข็นทั้งหมดทันที โดยไม่ฟังเสียงว่ายังขายอะไรไม่ได้เลย

ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวและเป็นหนี้สินหนักอึ้งมาหมาดๆ นายโมฮาเหม็ดตกอยู่ในสภาพช็อก สะเทือนใจสุดขีด เลือดขึ้นหน้า แล้ววิ่งไปร้องทุกข์กับผู้ว่าการท้องถิ่นทันที ทว่า ผู้ว่าการฯ กลับนิ่งเฉย ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น

เมื่อถูกตำรวจรังแกและผู้ว่าการฯ ทอดทิ้งซ้ำเติม นายโมฮาเหม็ดก็ให้รู้สึกว่า ชีวิตตนนี่ช่าง "สิ้นไร้ไม้ตอก ไร้ความหมาย" เสียจริงๆ จึงซื้อน้ำมันเบนซินมาขวดหนึ่ง แล้วประกาศว่า หากผู้ว่าการฯ ไม่ออกมารับเรื่องร้องทุกข์ ตนจะใช้น้ำมันเบนซินในมือราดตัว แล้วจุดไฟเผาตัวเอง กระนั้นก็ตาม ผู้ว่าการฯ ก็ยังนิ่งเฉยอยู่ ในที่สุดนายโมฮาเหม็ดตัดสินใจด้วยความห้าวหาญ ทำตามประกาศทันที

ปรากฏว่า นายโมฮาเหม็ดถูกไฟเผาไหม้เสื้อผ้า เนื้อหนังไปราว 90% ของร่างกาย ตกอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัวจนถึงวันที่ 4 มกราคม 2011 ก็สิ้นลมหายใจ

ในบัดดล นายโมฮาเหม็ดได้รับการยกย่องเป็นวีรชนพลีชีพต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม และกลายเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงรัฐบาลตูนิเซียอย่างรุนแรงทั่วประเทศ จนกระทั่งประธานาธิบดีตูนิเซีย นายเบน อาลี กับครอบครัวต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนหาประเทศลี้ภัยแทบเอาตัวไม่รอด

ยิ่งกว่านั้น นายโมฮาเหม็ดยังกลายเป็นชนวนจุดระเบิดการประท้วงด้วยการเผาตัวเองตายในอีกหลายประเทศ ก่อให้เกิด "ความปั่นป่วนทางการเมือง" ในกลุ่มประเทศอาหรับ จนได้รับการขนานนามเหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้ว่า "การลุกฮือในอาหรับ"

กรณีของนายโมฮาเหม็ดนี้ บ่งบอกถึงพิษสงร้ายกาจยิ่งของ "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ที่ถือว่า "ค่าของคน" อยู่ที่ "วัตถุเงินทอง" ที่มีอยู่ คือ ยิ่งมีวัตถุเงินทองมากก็ยิ่งมีศักดิ์กับสิทธิ์มาก..ยิ่งมีอำนาจมาก..ยิ่งอยู่เหนือผู้อื่นใดทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงว่าจะได้วัตถุเงินทองมาโดยชอบด้วยศีลธรรมจริยธรรมนิติธรรมหรือไม่

ชีวิตประจำวันของ "สาวกลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" นี้ วนเวียนอยู่กับการหายใจเข้าเป็นเงินทอง หายใจออกเป็นวัตถุ โดยอยู่กับ "วัฒนธรรมซื้อขายครอบครอง" ทุกอย่างที่ขวางหน้า มองเห็นมนุษย์เป็นวัตถุไร้ความรู้สึกที่ซื้อขายกำจัดได้อย่างผักปลา และถือว่าจุดหมายปลายทางสำคัญกว่าวิถีทาง

ตำรวจชั่วดังกล่าวคือ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ผู้สวม "จิตวิญญาณ" และถือปฏิบัติตาม "วัฒนธรรมพาณิชย์" ดังกล่าวของสาวกนี้เป็นประจำ จนกระทั่งเลิก "คิด พูด ทำ" แบบ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่โปร่งใส และเริ่มคิดพูดทำแบบ "เจ้าหน้าที่รัฐพาณิชย์" ที่โกงกินอย่างสาวก

ในกรณีของไทย ข้าราชการผู้สวม "จิตวิญญาณ" และถือปฏิบัติตาม "วัฒนธรรมพาณิชย์" ของสาวกเป็นประจำ ก็จะเริ่ม "คิดพูดทำ" แบบ "ข้าราชการพาณิชย์" ที่โกงกินอย่างสาวกเช่นกัน

สาวกสามารถทำให้หน่วยราชการหนึ่งใด คิดพูด ทำตาม "วัฒนธรรมพาณิชย์" ของตนได้ง่ายมาก เพียงลงทุนซื้อข้าราชการ สำคัญๆ ไว้ แล้วบงการให้ทำราชการตาม "รัฐพาณิชย์ธรรมนูญแห่งตน" ซึ่งกำหนดแต่สิทธิของตน มิใช่ตาม "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ซึ่งกำหนดสิทธิกับหน้าที่ของประชาชนทั้งประเทศ

เมื่อสาวกต้องการยึด "รัฐวิสาหกิจ" ใด ก็กุเรื่องไร้สาระขึ้นมาเป็นข้ออ้างสำหรับแปรรูปรัฐวิสาหกิจเดิม ให้เป็นรัฐวิสาหกิจใหม่ ตาม "รัฐพาณิชย์ธรรมนูญแห่งตน" ส่วนผลกำไรขององค์กรใหม่นี้ ย่อมเป็น "หญ้าปากคอก" ของสาวก

ผู้เคราะห์ร้ายที่สุดได้แก่ราษฎรผู้เป็นลูกค้าของรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปรรูปเป็น "รัฐพาณิชย์วิสาหกิจ" ซึ่งมุ่งกอบโกยเงินทองมากกว่าดูแลภาวะอยู่ดีกินดีของราษฎร ผู้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องตกอยู่ในสภาพ "สิ้นไร้ไม้ตอก" และ "กินน้ำใต้ศอก" เช่นนี้ เพราะว่ารัฐวิสาหกิจเดิมเป็นองค์กรที่ตราตั้งด้วยนิติธรรมและเจตนารมณ์ให้บริการแก่ราษฎรทุกคน มิใช่เฉพาะสาวกผู้ถือหุ้นและมีเงินล้นฟ้าท้ามหาสมุทร

รัฐบาลชุดต่างๆ ในอดีตได้ทำการแปรพันธุ์ "พลังงานชาติ" ให้เป็น "พลังงานพาณิชย์" โดยจำยอมเปิดสัมปทานการบริหารพลังงานชาติให้กับกลุ่มทุนผูกขาดต่างชาติหลายครั้งด้วยสัญญากับเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ

ในช่วงเวลานี้ ได้จังหวะเวลาที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติต้องพิจารณาในประเด็นวิกฤติที่ว่า ไทยควรเปิดสัมปทานพลังงานชาติครั้งที่ 21 ให้กับเอกชนต่างชาติเมื่อใด

เสียงที่พึงรับฟังเพื่อพิจารณาได้แก่ เสียงที่แสดงออกถึงความเป็นเอกเทศอิสระจาก "วัฒนธรรมพาณิชย์" ซึ่งน่าจะได้แก่เสียงข้างมากจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช. และ ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนเสียงจากบรรดาผู้นำภาคประชาชนที่กล้าออกมาแสดงจิตวิญญาณประชาธิปไตย เพื่อเสนอแนะทางเลือกที่ให้แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมก่อนเปิดสัมปทานครั้งที่ 21

ข่าวน่ายินดีล่าสุดระบุว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจชะลอการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 แล้ว ตามข้อเสนอดังกล่าว

นอกจากนี้ สาวกยังได้เข้าครอบงำ "การเมืองประชาธิป ไตย" โดยทำการแปรพันธุ์ "ข้าราชการการเมือง" เดิมให้ "คิด พูด ทำ" ตาม "วัฒนธรรมพาณิชย์" ของสาวก จนกลายพันธุ์เป็น "ข้าราชการการเมืองพาณิชย์" ส่งผลให้ชาติอยู่ใต้ "รัฐพาณิชย์ธรรมนูญแห่งตน" ของสาวก ส่วน "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" นั้น เหลืออยู่แต่ชื่อสำหรับอ้างอิงให้อุ่นใจเท่านั้น

"การเมืองพาณิชย์" พันธุ์อุบาทว์ใหม่นี้ มีกติกาบีบบังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนต้องทุ่มเทเงินทุนมหาศาล เพื่อจะได้ชนะเลือกตั้ง และเปิดโอกาสให้ทุนสามานย์แอบส่งสมุนรับใช้เข้าแข่งขันเลือกตั้ง ซุ่มจ้างวานมืออาชีพลอบทำร้ายคู่แข่ง รวมทั้งซ่องสุมวิ่งเต้นสมาชิกสภานิติบัญญัติบางคน ให้ออกกฎหมายที่อำนวยประโยชน์ต่อตน ทั้งนี้ เป็นการบ่อนทำลายการเมืองระบบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

"สถาบันศาสนา" ซึ่งน่าจะใสสะอาดอยู่ ก็ยังมิวาย "คิด พูด ทำ" ตาม "วัฒนธรรมพาณิชย์" ของสาวก จน "วัดพุทธ" หลายแห่งได้แปรพันธุ์เป็น "วัดพุทธพาณิชย์" ไปแล้ว ในขณะที่การบริหารของสถาบันนี้ กำลังเอนอ่อนไปตาม "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ดังเช่นกรณีพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และพระคึกฤทธิ์ (โสตฺถิผโล) เป็นต้น

แม้ข้าราชการผู้ไม่ได้ขายตัวให้แก่ใคร ก็สามารถน้อมรับ "วัฒนธรรมพาณิชย์" และเข้าร่วมโกงกินงบประมาณแผ่นดิน ละทิ้งหรือละเมิดหน้าที่รับผิดชอบจนโครงการจำนำข้าวนับแสนล้านบาทล่มสลาย ส่งผลให้ชาวนาฆ่าตัวตายไปหลายราย ตลอดจนใจกล้าหน้าด้าน ขยิบตาเชื้อเชิญต่างชาติให้ยึดครองผลประโยชน์ของไทยแบบหน้าตาเฉย ไร้ความสำนึกผิดในกิจกรรมปล้นชาติของตนโดยสิ้นเชิง

ส่วน "องค์กรสื่อสารมวลชน" นั้น บางรายก็ได้แปรสายพันธุ์ตัวเองเป็น "องค์กรสื่อสารมวลชนพาณิชย์" ของสาวกแล้ว

สรุป "วัฒนธรรมพาณิชย์" ของสาวก เปรียบได้กับ "เชื้อโรค" ที่ระบาดอย่างเงียบๆ สู่ทุกคนหรือองค์กรได้ ผู้ใดที่ไม่ยอมสยบต่อโรคนี้ จะไม่ได้รับเมตตาปรานีจากสาวก ผู้ไร้ทั้งมโนธรรมและความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ขนาดได้ทำให้นายโมฮาเหม็ดและชาวนาไทยฆ่าตัวตายได้

โรคจัญไรนี้เกิดจาก "ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ที่เติบโตมาอย่างผิด "กฎแห่งธรรมชาติ" เสมือน "มะเร็ง" ที่เกาะกินทำลายร่างกายผู้ป่วยจนแตกดับทั้งผู้ป่วยและตัวมะเร็งเอง ดังกรณีประเทศตูนิเซียเมื่อปี 2553 ที่ติดโรคจัญไรนี้ ส่งผลให้บรรดาผู้นำประเทศเผ่นหนีทิ้งบ้านเมืองไว้กับความล่มจมหายนะ

เราผู้เป็นสาวก "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" พึงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทต่อโรคจัญไรนี้ เพื่อจะได้รู้ทัน ปกป้องตนจากพิษสงมหันตภัยของโรค ทั้งนี้ ด้วยการยืนหยัด และส่งเสริมให้สังคม "คิด พูด ทำ" ตาม "วัฒนธรรมไทยเดิม" ซึ่งมีรากฐานมาจาก "พระพุทธศาสนา" ก่อนที่จะสายเกินไป.