Sunday, August 22, 2010


ปฏิรูป : ความฝันอันสูงสุด
ดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต 
dhanarat333@gmail.com

        การปฏิรูปประเทศไทยมิใช่รายการจัดงานแสดงกายกรรม แบบใครใคร่ตีลังกาท่าไหน ก็ตีไป

        นายฉวงซื่อ นักปราชญ์จีนเรืองนามสมัย 24 ศตวรรษก่อน มีนิทานสอนใจเล่าสู่กันฟังว่า อุบาสกเยนฮุยต้องการฝึกจิตให้หลุดพ้นจากอวิชชา จึงไปขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง

       วันหนึ่ง เยนฮุยไปรายงานผลการฝึกจิต "กราบนมัสการท่านอาจารย์ ศิษย์คนนี้ฝึกจิตได้ฉิวเลย ขอรับ"
        
         "ฉิวนี่หมายถึงอะไร?" พระอาจารย์ถาม

        "หมายว่า ศิษย์ลืมเป็นได้สองเรื่องแล้ว คือ เรื่องพิธีกรรมกับเรื่องดนตรี ขอรับ"

        "ดี" พระอาจารย์ชม แถมติทิ้งท้าย "แต่ยังไม่พอ ต้องฝึกต่อ"

        สามวันต่อมา เยนฮุยเสนอรายงานอีก "ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์ฝึกจนได้ผลดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ขอรับ"

      "ดีขึ้นยังไง?" พระอาจารย์สงสัย

        "ตอนนี้ ศิษย์ลืมเป็นได้อีกสองเรื่อง คือ เรื่องมนุษยธรรมกับเรื่องความถูกต้องชอบธรรม ขอรับ"

        "โอ้โฮ" พระอาจารย์ชมทันที "ดีมาก" แต่ก็มิวายติทันทีว่า "ยังไม่พอ ต้องกลับไปฝึกต่อ"

        ไม่นานนัก เยนฮุยกลับมาเสนอรายงานอีก คราวนี้ พร้อมด้วยสีหน้าอันอิ่มเอิบด้วยความสมหวัง

        "กราบเท้าท่านอาจารย์ คราวนี้ ศิษย์บรรลุทะลุถึง่ซึ่งความสำเร็จแล้ว ขอรับ"

        "ไหน คราวนี้...พูดว่ายังไงนะ?" พระอาจารย์ถามแล้วถอนหายใจยาว

        "ศิษย์นั่งอยู่กับที่เป็น และลืมเป็นได้หมดทุกเรื่องแล้ว ขอรับ"

        พระอาจารย์ยื่นมือทั้งสองออกไปหยิกกับดึงที่ใบหูทั้งสองข้างของเยนฮุย พลางถามด้วยความสงสัยว่า "เจ้าหมายถึงอะไรนะ ที่ว่านั่งเป็นลืมเป็นนั่น?"

        "คือ..ศิษย์สามารถปล่อยวางเรือนร่างของศิษย์ ปล่อยวางจิตของศิษย์ ให้สงบเย็นลง และเข้าถึงภาวะชั่วนิรันดรได้แล้ว ขอรับ"

        "โอ้โฮ" พระอาจารย์อุทานออกมาดังลั่น พลางโค้งตัวแสดงคารวะต่อเยนฮุยแล้วกล่าวอย่างถ่อมตน "แสดงว่าเจ้าบรรลุเป็นผู้ตื่นผู้รู้มรรควิธีรอดจากอวิชชาแล้วซิ ยอดเยี่ยมๆ ต่อนี้ไป อาตมาเห็นจะต้องเดินติดสอยห้อยตามเจ้าแล้วละ"

        ก็น่ายินดีที่อุบาสกเยนฮุยได้ทำการปฏิรูปตัวเอง จนกลายเป็นคนรู้รักษาตัวรอดจากอวิชชาเป็นยอดดี

       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ มีแผนงานส่งเสริมให้มีการปฏิรูปประเทศ เพื่อบุตรหลานไทยจะได้มีอนาคตที่ตั้งอยู่บนความเป็นไทอย่างมั่นคงถาวร ไม่พ่ายแพ้สูญความเป็นไทไปกับกระแสเศรษฐกิจแห่งโลกาภิวัฒน์

       ตรงกันข้าม นายกฯ อีกคนหนึ่งต้องการให้เจ้าของบ่อน้ำมันต่างชาติเข้ามาลงทุนกว้านซื้อที่นาไทย เพื่อให้ชาวนาไทยทำนาให้ คือ ให้คนไทยเป็นลูกจ้างทำนาให้เจ้าของบ่อน้ำมันต่างด้าว และสร้างความร่ำรวยให้กับคนต่างด้าว เพราะข้าวคือพืชเศรษฐกิจส่งออกสำคัญที่ทำเงินมหาศาลให้ไทยมายาวนาน พูดง่ายๆ นายกฯ คนนี้ต้องการให้ชาติไทยสิ้นชาติไปกับเงินทองของคนต่างด้าว

       นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่เห็นด้วยกับนายกฯ เผาชาติคนนั้นอย่างแน่นอน แต่เพื่อให้แผนปฏิรูปของท่านได้ก้าวสู่จุดหมายปลายทางอันเหมาะสมกับความเป็นชาติไทย ท่านจำต้องมีแผนที่ (โรดแม็พ) ที่สมบูรณ์แบบสำหรับกำกับการปฏิรูปอย่างถูกต้องและสมจริงกับความเป็นไทย คือ ท่านจำต้องมีแผนที่ที่มีทั้งสี่ทิศและ "เข็มทิศที่ห้า" ซึ่งจะกำหนดไว้อย่างถูกต้องแม่นยำว่า "เราคือใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร กำลังจะไปไหน อย่างไร เมื่อไร ต้องการอะไร?"

       แผนที่ที่มีเพียงสี่ทิศคือแผ่นกระดาษที่ได้แต่ถามเราว่า เรากำลังอยู่ที่ไหนและจะไปไหน? เราจะตอบโจทย์ข้อนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่า เรากำลังอยู่ที่ใดและรู้จักตัวเราเองดังกล่าว คือ เมื่อเรามี "เข็มทิศที่ห้า" นั่นเอง 

       เมื่อมี "เข็มทิศที่ห้า" เราก็พร้อมที่จะเริ่มปฏิรูปตนให้ตรงกับรากฐานเนื้อแท้ของเรา ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามมายาคติที่ยึดมั่นถือมั่นตามโลกแห่งความเพ้อฝัน ไม่สมจริง คือ เราจะได้ไม่สร้าง "วิมานในอากาศ" คอยเดินมาก้นใครก็ไม่รู้ที่กำลังหนาวๆร้อนๆเผชิญกับ "นรกบนดิน" ในบ้านเมืองเขาอยู่ตลอดมา

      การปฏิรูปคืออะไร? 

      การปฏิรูปคือการปรับเปลี่ยนสภาพจากระดับหนึ่งให้สูงขึ้นไปสู่ระดับที่ดีกว่าเดิม อย่างเช่นที่อุบาสกเยนฮุยที่ได้ปฏิรูปตนจากระดับผู้ไม่รู้ขึ้นสู่ระดับผู้ตื่นรู้ อย่างเช่นที่นักวิทยาศาสตร์ได้ปฏิรูปกล้องถ่ายภาพด้วยฟิล์ม ให้เป็นกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ตามวัฒนธรรมเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน หรืออย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิรูปคำสอนเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในศาสนาฮินดูให้มีความเป็นสัจธรรมแท้จริงสำหรับนำพามวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์

        ขณะนี้ เริ่มมีเสียงแสดงความคาดหวังไว้ว่า ประเทศไทยหลังปฏิรูปจะต้องไม่มี "ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ" เพราะเป็นภาวะที่มีชนชั้นทางเศรษฐกิจ มีเจ้า มีไพร่ มีอภิพญามหึมามหาเศรษฐีไม่กี่คนที่มีเงินนับแสนๆล้านบาท มีที่ดินร่วมครึ่งค่อนประเทศอยู่ในกำมือ มีนายทุนสามานย์ที่มีลูกหนี้ติดหนี้ตนตลอดชีพ ลูกหนี้บางรายนับไม่ถ้วนที่ต้องส่งหนี้ค่าเช่าที่ดินที่พักให้ตระกูลตนชั่วลูกชั่วหลานชั่วนิรันดร

        "ความเหลื่อมล้ำ" ดังกล่าว แม้จะมิใช่สิ่งพึงปรารถนา แต่ก็จะมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังก้มหน้าก้มตาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมไร้จิตสำนึกที่กำลังครอบงำโลกอยู่ ไม่ว่าเราจะอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือลัทธิเสรีประชาธิปไตย ก็ตาม

        สาธารณะรัฐประชาชนจีนมีจำนวนมหาเศรษฐีระดับเงิน 10 ล้านหยวนขึ้นไป (ราว 480 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นทุกวัน ในอัตราร้อยละ 6.1 จากปีก่อน นับได้ 875,000 ราย ในจำนวนนี้ มี 55,000 รายที่มีเงินกว่า 100 ล้านหยวนขึ้นไป โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากปีก่อน มี 1,900 ราย ที่มีทรัพย์สินมูลค่าเกิน 1,000 ล้านหยวนขึ้นไป และมี 140 รายที่ร่ำรวยเกิน 10,000 ล้านหยวนขึ้นไป ทั้งนี้ ตามรายงานประจำปี 2553 สถาบันวิจัยฮูหรัน ประเทศจีน

        เมื่อพิจารณาจำนวนเศรษฐีดังกล่าว ประกอบกับรายได้เฉลี่ยของประชาชนชาวจีน ซึ่งอยู่ในระดับ 117,664 บาท ในปี 2552 จากฐานประชากร ซึ่งมีถึง 1,324,655,000 คน ในปี 2551 (ที่มา ธนาคารโลก) ซึ่งร้อยละ 10.8 ยังมีรายได้ต่ำกว่า US$1 (ที่มา ธนาคารพัฒนาเอเชีย) ตกราว 32 บาทต่อวัน ฉะนั้น จีนมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขนาดสุดขีด จากการใช้สองมาตรฐานคือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและระบบการเมืองคอมมิวนิสต์พร้อมกัน

       ไทยดั้งเดิมมีพุทธเศรษฐศาสตร์ที่ตระหนักในคุณค่าและปกปักษ์รักษา "ทรัพยากรมนุษย์" มากกว่า "เครื่องจักรกล" มุ่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติและเครื่องจักรกลเป็นทาส ให้สร้างผลผลิตเพื่อสนองความต้องการในปัจจัยสี่ของมนุษย์ คือ พุทธเศรษฐศาสตร์ไม่ใช้มนุษย์ให้เป็นทาสของเครื่องจักรกล เพียงเพื่อให้มนุษย์ทำการผลิตเพื่อผลผลิต แถมทำลายระบบนิเวศวิทยา ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าของทุนกับเครื่องจักรเป็นผู้ร่ำรวยแต่ฝ่ายเดียว มนุษย์กับนิเวศวิทยาเป็นเพียงตัวสนับสนุนความร่ำรวยส่วนตนเท่านั้น 

       จริงๆแล้ว มนุษย์มี "คุณค่า" สูงกว่าเงินทุนและเครื่องจักร เพราะมี "ความรู้สำนึกในศีลธรรม" ที่บันทึกอยู่ในรหัสพันธุกรรม ตามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้ให้ เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ชาติเอง อีกทั้งมีความคิดความอ่านโดยธรรมชาติที่จะเป็น "ตัวของตัวเอง" เป็นอยู่กับ "ความเป็นจริง" และมีศักยภาพในการ "วิวัฒนาการ" ตนเองสู่ความเป็นมนุษย์ในระดับสูงขึ้นไป ดังเช่นบรรพชนทั้งหลายเมื่อนับแสนๆปีก่อน เพราะมนุษย์สามารถฝึกฝนตนเองให้แตกฉานในสัจธรรมและวิชาความรู้อย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆ คือ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทาสของใครอะไรทั้งสิ้น

       "คุณค่า" สูงส่งดังกล่าว คือหลักประกันให้มนุษย์ได้ก้าวสู่ความเจริญสุขโดยทั่วกันได้ด้วยตนเอง โดยมิต้องอาศัยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์นิยม ซึ่งล้วนแต่ "ขาดจิตสำนึก" ในคุณค่าของ "ความเป็นมนุษย์" ในระดับที่แตกต่างกัน โดยต่างก็ปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างทาส และเหยียดหยามย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาตลอด ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น

       การปฏิรูปของไทยจากโลกแห่งมายาคติสู่โลกแห่งความเป็นจริง จากโลกอวิชชาสู่โลกตื่นรู้ ดังเช่นอุบาสกเยนฮุย คือการปฎิรูปที่เป็นความฝันอันสูงสุด.




No comments:

Post a Comment